แนวคิด
:
– พวกยิวกล่าวร้ายพระเยซูอย่างรุนแรง ว่า เป็นคนสะมาเรีย(เพราะพวกยิวเหยียดหยามคนสะมาเรีย)
และ เป็นคนมีผีสิง (ข้อ48)
– พระเยซูตรัสตอบพวกเขาอย่างอ่อนสุภาพ
– พระเยซูไม่ได้พูดถึง คำกล่าวร้ายแรกเกี่ยวกับคนสะมาเรีย เพราะพวกยิวใช้ การเหยียดหยามคนสะมาเรีย มาเป็นอุปกรณ์ในการกล่าวร้ายพระเยซู แต่พระองค์ไม่ต้องการแก้ต่างให้ตัวเอง โดยพาดพิงถึงคนสะมาเรีย พระองค์จึงทรงข้ามประเด็นนี้ไปเลย
– เช่น ถ้าพระเยซูบอกว่า “เราไม่ใช่คนสะมาเรีย” ก็เหมือน เป็นการที่พระเยซูเองก็เหยียดหยามคนสะมาเรียด้วย ดูเหมือนพระองค์ไม่ต้องทำเช่นนั้น
– พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า พระองค์ไม่มีผีสิง โดยไม่ได้ให้คำแก้ต่างแต่อย่างไร ซึ่งพระองค์สามารถบอกว่า พระองค์สอนสิ่งที่ถูกต้อง พระองค์เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์รักผู้คน ฯลฯ ซึ่งคนที่มีผีสิงจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ดูเหมือนพระองค์ไม่ใส่ใจที่จะอธิบาย แต่กลับให้ความสำคัญกับประโยคต่อมา
– พระองค์บอกพวกยิวว่า พระองค์ถวายพระเกียรติพระบิดา
– นั่นคือ ท่านว่าเราเป็นอะไร อย่างไร นั่นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การถวายเกียรติแด่พระบิดา
– ขณะที่เรากำลังถวายเกียรติแด่พระบิดา แต่ท่านมาหมิ่นเกียรติของเรา นั่นไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังขัดขวางการถวายพระเกียรติแด่พระบิดา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การประยุกต์ใช้
:
– พระเยซูเป็นแบบอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ คือ ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะคิดกับเราว่าอย่างไร
หรือแม้แต่จะเข้าใจผิดเราก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
สิ่งที่เรากระทำนั้นเรากำลังถวายเกียรติแด่พระบิดาหรือไม่?
– วันนี้ หากคนดูถูกเรา คนตำหนิเรา คนใส่ร้ายเรา คนเข้าใจผิดเรา แต่เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นการถวายเกียรติแด่พระบิดา เราสมควรอย่างยิ่งที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อต่อไป เพราะว่าเมื่อทำเช่นนั้น เรากำลังทำเช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงกระทำ
– วันนี้ สิ่งที่เรากำลังทำ ถวายเกียรติแด่พระบิดาอยู่หรือไม่?