ภาพรวม
- พระเยซูได้เทศนาสั่งสอน เหล่าสาวกและประชาชนด้วยสิทธิอำนาจ โดยไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด
- ในบทนี้ พระเยซูสอนว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม ทรงเปี่ยมด้วยเมตตา ขณะเดียวกันก็ทรงเข้มงวดในการพิพากษา ตามตัวตนภายในจริงๆ ของแต่ละคน
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# สิ่งใดที่เราไม่อยากให้พระเจ้ากระทำแก่เรา ก็จงอย่าทำเช่นนั้นต่อผู้อื่น
1.@ วันนี้ มีอะไรบ้างที่เราต้องกลับใจ ในเรื่องนี้?
2.# พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยเมตตาต่อทุกคน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราผู้เป็นลูกของพระเจ้า ร้องทูลต่อพระองค์อย่างจริงใจ มีหรือพระองค์จะไม่ตอบคำร้องทูลของเรา?
2.@ วันนี้ เราร้องทูลต่อพระองค์แล้วหรือยัง? และเมื่อร้องทูลเราร้องทูลอย่างมั่นใจ ว่าพระองค์จะทรงตอบอย่างแน่นอนแล้วหรือยัง?
3.# ทางของพระเจ้า ไม่ใช่ทางที่คนที่อยากทำตามใจปรารถนาของตนเอง จะเดินได้
3.@ วันนี้ เราเดินในทางที่ต้องการให้พระเจ้าทำตามใจปรารถนาของเรา หรือทางที่เราต้องการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า?
4.# เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ใครถูกเปลี่ยนเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แต่เราสามารถสังเกตพฤติกรรมของเขาได้ คนชอบธรรมจะมีพฤติกรรมที่ชอบธรรม
4.@ พฤติกรรมในชีวิตของเราวันนี้ สะท้อนความสัมพันธ์ที่มีกับพระเยซู วันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซูเป็นเช่นใด?
5.# สวรรค์ไม่ใช่ใครก็เข้าได้ เพราะสวรรค์มีไว้สำหรับคนที่ทำตามพระทัยพระบิดาเท่านั้น สิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระบิดา คือการวางใจในผู้ที่พระบิดาทรงใช้มา (ยน. 6:29) เมื่อใครวางใจในพระเยซู คนนั้นก็จะเป็นคนชอบธรรม เมื่อเขาเป็นคนชอบธรรม เขาจะมีพฤติกรรมที่ชอบธรรม
5.@ วันนี้ หากใครได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน แต่พฤติกรรมไม่สะท้อนออกมาในทางชอบธรรม เขากำลังตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่เขาควรตรวจสอบอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ เขาได้วางใจในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง? แม้เขาเคยวางใจแล้ว วันนี้เขายังคงวางใจอยู่หรือไม่?
6.# คำเทศนาบนภูเขาถูกสรุปด้วยคำอุปมาง่ายๆว่า ถ้าใครก็ตามได้ยินทั้งหมดนี้แล้ว แต่ไม่เอาไปประพฤติตาม ที่ได้ยินมานี้ก็ไร้ประโยชน์ และเขาจะเสียใจอย่างที่สุดในวันสุดท้าย
6.@ วันนี้ เรานำเรื่องใดบ้างจากคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู มาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา?
คำคม
“ ไม่ว่ารู้มากเพียงใด แต่ไม่ลงมือทำ สิ่งที่รู้นั้นก็ไร้ค่า ”