ภาพรวม
- ในบทนี้พูดขยายความเรื่อง คนต้นเป็นคนสุดท้าย โดยพระเยซูยกตัวอย่างคำอุปมาเรื่องคนทำงานในสวนองุ่น และทรงสอนเหล่าสาวกผู้อยากเป็นคนต้นได้นั่งข้างบัลลังก์พระองค์ ว่า คนที่จะเป็นใหญ่คือคนที่ปรนนิบัติผู้อื่น
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# คำอุปมาเรื่อง คนทำงานในสวนองุ่น ชี้ให้เห็นว่าพระคุณของพระเจ้ามีสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับทุกคน แต่ปรากฏว่า คนทำงานคนแรกกลับอิจฉา คนที่เข้ามาทำงานคนสุดท้าย
ดังนั้นแทนที่คนแรกจะได้ภาคภูมิใจที่ได้ทำอย่างเต็มที่และร่วมยินดีกับคนอื่นๆที่ได้รับสิ่งดีด้วย แต่ปรากฏว่าคนแรกกลับถูกตำหนิจากผู้ว่าจ้างว่า เป็นคนขี้อิจฉา
คนแรก แทนที่จะเป็นคนที่ได้รับเกียรติมากที่สุด กลับกลายเป็นที่ได้รับเกียรติน้อยที่สุด
1.@ เราควรดีใจ เมื่อเห็นคนทั้งหลายได้รับความรอดและเข้ามาเดินในทางของพระเจ้า ได้รับพระพรของพระเจ้า
ขณะเดียวกันเราควรระมัดระวัง ว่า ผู้ที่เขามาอยู่ในทางของพระเจ้าแล้ว อย่างเรา ยังคงเดินต่อไปในทางนี้ ไปตลอดจนถึงวันที่จะได้รับรางวัล ในวันสุดท้าย
2.# พระเยซูทรง ย้ำกับพวกสาวกเป็นครั้งที่ 3 ว่า พระองค์จึงถูกตรึงตายบนไมกางเขนและในวันที่สาม พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่
แต่ปรากฏว่าดูเหมือนพวกสาวกไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอก
สังเกตได้จากเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เมื่อพวกผู้หญิงมาบอก ไม่มีใครยอมเชื่อสักคน
2.@ สิ่งที่พระคำของพระเจ้าตรัสไว้ ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ เชื่อหรือไม่เชื่อ ในที่สุดก็จะเกิดขึ้นเป็นจริง
แต่ถ้าเราไม่เชื่อ พระคำของพระเจ้าที่บอกเราไว้นั้น จะไม่อาจช่วยเราได้ในยามที่เราเผชิญสถานการณ์ต่างๆในชีวิต
เหมือนพวกสาวกที่โศกเศร้าเสียใจและสิ้นหวัง เมื่อเห็นพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพียงแต่พวกเขาเชื่อ ที่พระเยซูตรัสไว้ว่า จะเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เพียงเท่านี้พวกเขาคงไม่ต้องทุกข์โศกเศร้ามากมายในช่วงเวลานั้น
วันนี้เพียงเราเชื่อในสิ่งที่พระคำของพระเจ้าทรงสัญญาไว้ เราก็จะไม่ต้องทุกข์โศกเศร้ามากมายกับความทุกข์ยากที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
3.# ยากอบและยอห์น ใช้แม่มาขอตำแหน่งจากพระเยซูล่วงหน้า แม่ของพวกเขา น่าจะคือ นางสะโลเม (27:56; มก. 15:40)
นางขอให้ลูกของนาง อยู่ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายคนหนึ่ง
พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า พวกเขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังจะไปทำอะไร กำลังไปถูกตรึงบนกางเขน แน่ใจจริงๆหรืออยากจะอยู่ข้างซ้ายคนหนึ่งและข้างขวาคนหนึ่ง ที่โกละโกธานั้นพวกเขาจึงตอบแบบไม่รู้เรื่องว่า “ได้พระเจ้าข้า”
แล้วพระเยซูจึงบอกให้พวกเขารู้ว่า ใช่แล้ว สักวันหนึ่งจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในอนาคตพวกเขาจะตายเพื่อข่าวประเสริฐ
3.@ ยากอบและยอห์น คิดว่าการประสบความสำเร็จคือ การร่ำรวย และมียศฐาบรรดาศักดิ์ในโลกนี้
แต่พระเยซูสอนพวกเขาว่า การประสบความสำเร็จที่แท้จริง คือ
การได้ปรนนิบัติผู้อื่นอย่างถ่อมใจ และการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เพราะเห็นแก่พระคริสต์
การรับใช้ที่มีเกียรติที่แท้จริง ไม่ใช่เมื่อมีคนยกมือไหว้เยอะๆ
แต่เมื่อเราได้มีโอกาสปรนนิบัติคนทั้งหลายมากมาย
วันนี้ ในงานรับใช้ของเรานั้น เราได้ปรนนิบัติรับใช้ใครบ้าง?
4.# ตอนท้ายของบทนี้ พูดถึงการที่พระเยซู ผู้เป็นพระมาซีฮา (ชาวยิวใช้คำว่า บุตรดาวิด) ได้ปรนนิบัติชายตาบอด 2 คน คนหนึ่งในสองคนนี้ มีชื่อว่า บารทิเมอัส(มก. 10:46)
เมื่อพวกเขาร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ผู้คนพากันห้ามปรามพวกเขา
เพราะเห็นว่าเจ้าขอทานตาบอดพวกนี้ ไม่คู่ควรให้พระเยซูมาสนใจพวกเขาหรอก
แต่พระเยซูกลับสนใจพวกเขา และปรนนิบัติพวกเขา ด้วยการรักษาพวกเขาให้หาย
4.@ พระเยซูไม่เพียงแต่สอนเท่านั้น พระองค์ทรงกระทำอย่างที่สอนด้วยเสมอ
วันนี้ เราทำตามสิ่งที่เราบอกหรือสอนผู้อื่นมากน้อยเพียงใด?
พระเยซูสอนว่า พระองค์มาเพื่อปรนนิบัติ
ดังนั้นเมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ด้วยใจจริง เหมือนชายตาบอดสองคนนั้น
พระองค์จะรับฟังและทรงรีบมาช่วยกู้เราอย่างแน่นอน
คำคม
“ ความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง วัดกันที่ ความถ่อมใจลงยอมปรนนิบัติผู้อื่น ”