ภาพรวม
- วันอาทิตย์ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ และทรงขับไล่คนค้าขายออกจากพระวิหาร แล้วก็พบการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสี
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ พระมาซีฮาจะนั่งลูกลาเข้ากรุงเยรูซาเล็ม แต่พวกของพระเยซูไม่มีลูกลา แล้วจะไปหาจากที่ไหน?
ปรากฏว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นและเตรียมการสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าของลาไว้เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ พวกสาวกทำตามคำสั่งของพระเยซู พวกเขาก็พบการจัดเตรียมของพระเจ้า
1.@ พระเจ้าทรงจัดเตรียมการคลี่คลายสถานการณ์ของเราเอาไว้แล้ว เพียงแต่เราเชื่อฟังพระคำของพระองค์ เราก็จะพบกับการจัดเตรียมของพระเจ้า
วันนี้ เรากล้าที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ด้วยวิธีการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าหรือไม่?
2.# พระเยซูนั่งลูกลาเข้าเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้ถ่อมพระทัย แล้วผู้คนก็เอาเสื้อผ้าของตน หรือกิ่งไม้มาปูให้ลานั้นเดิน แล้วโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้า
2.@ พระเยซูผู้เป็นเจ้านายของเรา ยังถ่อมตัวถ่อมใจ แล้วเรายิ่งควรจะถ่อมใจต่อผู้อื่นมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
เมื่อพระเยซูนั่งลานั้น ลานั้นได้รับการต้อนรับอย่างสง่างาม ไม่ใช่คุณสมบัติของตัวมันเองแต่พระเยซูทรงนั่งอยู่บนมัน
ชีวิตของเราไม่ว่าจะต่ำต้อยสักเพียงใด หากยอมให้พระเจ้าทรงใช้ พระเจ้าจะเป็นผู้ประทานเกียรติแก่เรา
3.# พระเยซูไม่พอพระทัย พ่อค้าที่นำของมาค้าขายในพระวิหารอย่างมาก เพราะพระนิเวศน์ของพระเจ้า ควรเป็นที่สำหรับอธิษฐาน
ไม่ใช่สำหรับค้าขาย หนำซ้ำยังค้าขายแบบเอาเปรียบ ขูดรีด ผู้คนอีกด้วย
3.@ วันนี้ เราเป็นวิหารของพระเจ้า เราใช้พระวิหารนี้ทำสิ่งใด?
ทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรือ ทำสิ่งหาประโยชน์ให้ตนเอง?
เราใช้พระวิหารนี้ เป็นนิเวศน์แห่งการอธิษฐาน คิดเป็น กี่ % ใน 24 ชม. ของแต่ละวัน
4.# ด้วยความอิจฉา พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จึงไม่พอใจ ที่เด็กๆสรรเสริญพระเยซู ทั้งที่สิ่งที่เด็กๆเหล่านั้นทำเป็นสิ่งน่าชื่นชม เพราะเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่พยากรณ์ไว้ (สดด. 8:2)
4.@ หากเราปล่อยให้ความอิจฉาเข้าครอบครองจิตใจของเรา จะทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตของคนอื่น
5.# พระเยซูทรงใช้ต้นมะเดื่อ เพื่อเป็นบทเรียนสอนพวกสาวก ให้เขามีความเชื่อ กล้าเชื่อในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าจะทรงกระทำ โดยพระองค์เน้นย้ำว่า “สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้”
5.@ พระเยซูผู้ไม่ตรัสมุสา ทรงสัญญาไว้ว่า สิ่งใดที่เราขอ ด้วยความเชื่อจริงๆ ไม่ได้สงสัย เราจะได้รับสิ่งนั้น
วันนี้ หากเรามีความจำเป็นในสิ่งใด จงทูลต่อพระองค์ด้วยความเชื่อ อย่างไม่สงสัยเถิด
6.# พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชน มาถามพระเยซูว่า มีสิทธิอะไรมากล่าวในนามผู้เผยพระวจนะและมาไล่พ่อค้าออกไปจากพระวิหาร
พระเยซูทรงถามพวกเขากลับ เกี่ยวกับบัพติศมาของยอห์น พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาไม่เชื่อยอห์น แต่ไม่ตอบเพราะเกรงกลัวประชาชน
พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า พระองค์ไม่ตอบพวกเขาเช่นกัน เพราะบอกไปพวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่พวกเขา อีก1 ข้อหา คือ ไม่เชื่อที่พระเยซูตรัส พระเยซูจึงไม่บอกพวกเขา
6.@ พระเจ้าพร้อมที่จะเปิดเผยความล้ำลึกฝ่ายวิญญาณแก่เรา แต่หากเราไม่เชื่อ พระองค์จะไม่เปิดเผยแก่เรา
นั่นคือ เราจะเข้าใจความล้ำลึกฝ่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเชื่อสิ่งที่พระคำของพระเจ้าได้เปิดเผยแก่เราแล้ว
7.# พระเยซูยกตัวอย่างคำอุปมาเรื่องบุตรสองคน เพื่อชี้ให้เห็นว่า พวกคนบาปทั้งหลาย เช่นคนเก็บภาษี และหญิงแพศยา ยังมีคุณสมบัติที่จะเข้าสวรรค์ได้ มากกว่าพวกปุโรหิตและพวกฟาริสีเสียอีก
เพราะคุณสมบัติของคนที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้นไม่ใช่การทำพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ
แต่เป็นการเชื่อแล้วกลับใจเสียใหม่
7.@ ไม่สำคัญว่า วันนี้เราทำกิจกรรมทางศาสนามากเพียงใด แต่ที่สำคัญคือ วันนี้ คุณกลับใจจากบาปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนสอนคุณมากเพียงใด
8.# พระเยซูใช้ตัวอย่างคำอุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า เพื่อชี้ให้เห็นว่า พวกยิวซึ่งความรอดมาถึงพวกเขา
แต่พวกเขากลับปฏิเสธ ดังนั้นการทำลายจึงกำลังจะเกิดกับอิสราเอล และความรอดจะถูกกระจายออกไปยังคนต่างชาติทั่วโลก
8.@ เพราะคนยิวปฏิเสธพระเยซู ไม่เชื่อพระองค์ พวกเขาจึงไม่อาจได้รับความรอดที่พระเยซูนำมาให้พวกเขา
วันนี้ความรอด และการช่วยกู้จากพระเจ้ามาถึงเราแล้ว โดยความเชื่อเราจึงรับได้
แต่ถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยเราได้ เราเองก็จะไม่ได้รับการช่วยกู้ในสถานการณ์ของวันนี้
คำคม
“ ทุกอย่างที่อธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้ ”