ภาพรวม
- พวกมหาปุโรหิต พวกฟาริสี พวกสะดูสี และพวกธรรมจารย์ พยายามส่งคนมาถามเพื่อจับผิดพระเยซู แต่พระเยซูตอบกลับอย่างลึกซึ้ง และเมื่อพระเยซูถามกลับ ก็ไม่มีใครตอบได้สักคน
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# พระเยซูทรงตรัสคำอุปมา การเลี้ยงเนื่องในพิธีอภิเษกมเหสี เพื่ออธิบายว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมความรอดให้แก่พวกยิว แต่พวกยิวปฏิเสธ และทำร้าย ฆ่า คนที่พระเจ้าส่งมา
ดังนั้นความรอดจึงไปยังคนต่างชาติซึ่งตามปกติไม่สมควรได้รับความรอดนี้
ขณะเดียวกันเมื่อคนที่ไม่สมควรได้เข้ามาในงาน ทางเจ้าภาพได้จัดเตรียมเสื้อสำหรับงานให้แขกทุกคนไว้แล้ว
แต่ถ้าแขกคนใดยังไม่ยอมสวมเสื้อเพื่อให้ตนเหมาะสมกับงาน คนนั้นจะถูกไล่ออกจากงานเลี้ยง
1.@ วันนี้โดยพระคุณของพระเจ้า เราได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้เตรียมเสื้อแห่งความชอบธรรมไว้สำหรับเราแล้ว โดยทางการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์
ถ้ามีคนใดแม้เขาได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม แต่เขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์จริงๆ สำหรับการที่เขาได้เป็นคนชอบธรรม
เขาจึงไม่อาจชอบธรรมได้
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าในงานเลี้ยงของพระเจ้าได้ในวันสุดท้าย
วันนี้ เราเป็นคนชอบธรรมจริงๆแล้วหรือยัง?
ใครก็ตามที่ยังไม่มั่นใจในคำตอบนี้ เขากำลังตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง
ส่วนคนเหล่านั้นที่ภายในจิตวิญญาณของเขาเป็นคนชอบธรรมแล้วจริงๆ
ย่อมสะท้อนออกมาเป็นการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรม ชีวิตที่ไม่มีความสุขกับบาป ชีวิตที่รังเกียจบาป
ถึงแม้จะไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ก็ตามแต่อย่างน้อยก็จะดำเนินไปในทิศทางนั้นขึ้นเรื่อยๆ
เราควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะพระเยซูเตือนเอาไว้แล้วว่า “ด้วยผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย”
2.# พวกฟาริสีกับพวกเฮโรด มาจับผิดพระเยซูด้วยการถามว่า “ควรส่งส่วยให้แก่ซีซาร์ จักรพรรดิแห่งโรมที่ปกครองดินแดนปาเลสไตน์ในช่วงเวลานั้น หรือไม่?”
หากพระเยซูตอบว่า “ไม่” ก็จะผิดกฎหมายโรม
หากพระเยซูตอบว่า “ควร” ประชาชนก็จะถือว่าพระเยซูไปเข้าข้างพวกโรมที่เขาเกลียดชังนั้น
พระเยซูถามพวกเขาว่า “รูปบนเหรียญเป็นรูปใคร?”
พวกเขาบอก “รูปซีซาร์”
พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ของของซีซาร์ จงถวายแด่ซ๊ซาร์” หมายถึง ควรเสียภาษีตามกฎหมาย
และ “ของของพระเจ้า จงถวายแด่พระเจ้า” หมายถึง ทุกอย่างที่เรามีเป็นของพระเจ้า จึงควรใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อพระเจ้า
2.@ วันนี้ สิ่งที่เรามี คนที่เรามี ของที่เรามี เป็นของใคร?
เมื่อเราเข้าใจว่าเป็นของเรา เราก็จะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเราเอง
แต่ถ้าเราตระหนักว่า ทั้งสิ้นที่เรามีเป็นของพระเจ้า เราก็สมควรใช้ทั้งสิ้นนี้เพื่อพระองค์
3.# พวกสะดูสี กลุ่มคนร่ำรวยในสภาแซนฮีดริน ผู้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ในพระคัมภีร์เท่าใดนัก ได้มาทดลองพระเยซูบ้าง
พวกเขาไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย จึงถามคำถามเพื่อเป็นการเยาะเย้ยการเป็นขึ้นมาจากความตาย
พระเยซูจึงอธิบายให้เขาฟังว่า ที่พวกเขาไม่เข้าใจ ก็เพราะพวกเขาไม่รู้พระคำของพระเจ้า ไม่รู้ฤทธิ์เดชของพระเจ้า
3.@ หากเราไม่รู้พระคำของพระเจ้า หรือ ต่อให้รู้แต่ไม่เชื่อพระคำของพระเจ้า เราก็จะไม่สามารถรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง
แต่จะสร้างมุมมองความคิดของตนเองขึ้นมาแล้วตู่ว่า นั่นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
4.# ในบทนี้ มีความล้ำลึกแห่งสวรรค์ที่ถูกเปิดเอาไว้ คือ เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย จะมีลักษณะเหมือนทูตสวรรค์ที่ไม่มีการเป็นสามีภรรยากันอีก
4.@ เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย และอยู่ในสวรรค์ชั่วนิรันดร์เป็นมิติใหม่ของชีวิต ซึ่งด้วยมิติของโลกปัจจุบัน เราไม่สามารถจินตนาการได้เลย
แต่ที่รู้แน่ๆคือ มันต้องดีเลิศอย่างแน่นอน เพราะพระบิดาผู้ทรงรักเราอย่างที่สุดจัดเตรียมให้ไว้สำหรับเรา
5.# เมื่อพวกฟาริสี พวกของเฮโรด และพวกสะดูสี จับผิดพระเยซูไม่สำเร็จ ก็ถึงคราวของธรรมาจารย์หรือบาเรียน ผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์ มาถามลองภูมิพระเยซู
และพระเยซูก็ตอบกลับตามพระคำของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง
5.@ การมีความรู้ในพระคัมภีร์อย่างดี ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เราจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ จนกว่าเราจะเชื่อวางใจในพระเยซูเท่านั้น
6.# หากจะถามถึงสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ให้เราทำมากที่สุด พระเยซูบอกว่า คือ รักพระเจ้าสุดใจ และรักเพื่อนบ้านสุดกำลัง
6.@ วันนี้ ในกิจการต่างๆที่เราทำอยู่นั้น มีกี่อย่างที่เราทำเพราะ รักพระเจ้า หรือ รักเพื่อนบ้าน?
7.# เมื่อพระเยซูทรงถามพวกผู้นำศาสนายิวกลับไปบ้าง ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์ได้เลย
ไม่ใช่เขาไม่รู้พระคัมภีร์แต่เพราะความล้ำลึกในพระคัมภีร์นั้น จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์
7.@ เราจะเข้าใจความล้ำลึกในพระคำของพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเราเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า และวางใจในพระเยซู ให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเราจริงๆเท่านั้น
คำคม
“ เราจะเข้าใจพระคัมภีร์ได้ ก็ต่อเมื่อ เราเชื่อวางใจในพระเยซูจริงๆเท่านั้น ”