ภาพรวม
- พระเยซูถูกปีลาตตัดสินประหารชีวิต ทั้งที่ปีลาตไม่พบความผิดในพระเยซู เพราะปีลาตกลัวพวกยิว พระเยซูจึงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ตั้งแต่ 9:00-15:00 น. แล้วถูกฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ ที่มีหินปิดปากอุโมงค์และมีทหารยามเฝ้าอยู่
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# เมื่อพวกมหาปุโรหิตสอบสวนพระเยซูคืนยันรุ่งแต่ก็ยังหาความผิดในพระองค์ไม่ได้ จึงจับพระเยซูมัดไป ให้เจ้าเมืองปีลาตช่วยฆ่าพระองค์ให้หน่อย
1.@ พระเยซูกษัตริย์ผู้เสด็จมาช่วยชนชาติยิว แต่พวกเขากลับปฏิเสธพระองค์ แล้วจับพระองค์ส่งไปให้คนต่างชาติที่เขาเกลียดชังนั้น ให้ช่วยฆ่าพระองค์เสีย
พระเยซู ทรงถูกปฏิเสธ และใส่ร้ายป้ายสี ทั้งที่พระองค์ทรงรักและปรารถนาดีต่อพวกเขา
ผู้ที่ถูกปฎิเสธหรือถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือถูกเกลียดชังแบบไม่มีสาเหตุ เพราะความรักที่เขามีต่อพระเยซู
คนๆนั้นกำลังร่วมทุกข์ด้วยกันกับพระองค์
2.# ยูดาสทำผิด ทรยศพระเยซู เมื่อเขานึกได้ เขาก็เสียใจ แต่น่าเสียดาย เขาแค่เสียใจแต่ไม่ได้กลับใจมาหาพระเจ้า
เขาจึงเลือกทางผิด เขาฆ่าตัวตาย
เขาหนีความโศกเศร้าในโลกนี้
เพื่อจะไปพบกับความโศกเศร้าสุดสลดและแสนน่าสะพรึงกลัวในบึงไฟนรก
2.@ เมื่อเราผิดพลาดพลั้งไป การเสียใจกับสิ่งที่ทำไปเป็นสิ่งที่ดี
แต่การเสียใจเท่านั้นไม่ช่วยแก้ไขหรือทำอะไรให้ดีขึ้นได้
ต้องนำความเสียใจนั้นมาหาพระเจ้า สารภาพ กลับใจเสียใหม่ รับการอภัยจากพระองค์
แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อนเลย
แต่ขณะเดียวกันก็เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นเพื่อไม่ให้ผิดพลาดซ้ำอีก
3.# ยูดาสทำผิดด้วยการร่วมมือกับพวกหัวหน้าปุโรหิต จับกุมพระเยซู เมื่อยูดาสนึกได้และเสียใจ
พอมาหาพวกมหาปุโรหิต พวกเขากลับบอกว่า
“มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง”
พวกเขาไม่ได้ช่วยอะไร แต่เยาะเย้ย ซ้ำเติม และกล่าวโทษยูดาส
3.@ มารซาตานมันล่อลวงให้เราทำบาป ตอนมันล่อลวง มันกระทำอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล ทำให้บาปนั้นช่างยั่วยวนและหอมหวาน
แต่พอเราผิดพลาดพลั้งบาปนั้น มารที่แสนชั่วร้าย มันกลับซ้ำเติม และกล่าวโทษเรา
ซึ่งพระเยซูจะไม่ทำเช่นนั้น ทุกคนที่มาหาพระองค์ด้วยจริงใจ
พระองค์จะไม่ปฏิเสธเขาเลย พระองค์พร้อมอภัย ช่วยเขาให้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสมอ
วันนี้ เมื่อเราผิดพลาดพลั้งไป เราจะทำอย่างไร
ฟังเสียงกล่าวโทษซ้ำเติมของมาร
หรือ
รีบมาหาพระเยซูเพื่อสารภาพแล้วรับการอภัย?
4.# เมื่อปีลาตสอบสวนพระเยซู พระองค์ไม่ได้ใช้สิทธิ ในการสู้คดี ตามกฎหมายของโรมัน ที่ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสแก้ตัว ในการตัดสินคดีใดๆ
4.@ พระเยซูจงใจ ไม่ใช้สิทธิที่มนุษย์มอบให้ แต่ใช้สิทธิที่พระเจ้าประทานให้
คือสิทธิที่จะเชื่อฟังจนถึงความตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษแทนความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนวันนี้
หากสิทธิที่มนุษย์หรือกฎเกณฑ์ของมนุษย์เปิดโอกาสให้เราทำ
แต่สิทธินั้นขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้า
จงงดใช้สิทธินั้น แล้วเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
5.# บารับบัสผู้สมควรตายได้รับการปล่อยตัว แต่พระเยซูผู้บริสุทธิ์กลับได้รับโทษถึงตาย
5.@ เราผู้สมควรตายเพราะบาปของเรากลับได้รับการอภัย
เพราะว่า พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าผู้ชอบธรรมรับโทษถึงตายแทนเรา
6.# ภรรยาปีลาตฝัน เพื่อให้ความชั่วร้ายของพวกยิวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้เห็นว่าสมเหตุสมผลแล้วที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย ในเวลาต่อมา ในค.ศ.70
ความฝันของภรรยาปีลาตช่วยตอกย้ำให้ปีลาตไม่อยากจะฆ่าพระเยซู และยิ่งทำให้ความอยากฆ่าพระเยซูของพวกยิวปรากฏเด่นชัดขึ้นอีก
จนพวกเขา ร้องตะโกนว่า
“ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา”
ต่อให้พวกเราหรือลูกหลานของพวกเราจะโดนแช่งสาปอะไรยังไงก็ได้
ขอให้มันตาย พวกเราก็พอใจแล้ว
6.@ สิ่งที่พระเจ้ากระทำแก่คนหนึ่ง อาจส่งผลให้ความดีหรือความชั่วของอีกคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นมาได้ หรืออาจส่งผลต่อเหตุการณ์บางอย่างได้
วันนี้ ไม่ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับเรา หรือกับใครก็ตาม ทั้งหมดพระเจ้ากำลังเตรียมสิ่งนั้น เพื่อให้สิ่งที่จำเป็นบางอย่างเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน วันนี้ สิ่งเกิดขึ้นกับเรา กำลังเผยความดี หรือ ความชั่วของบางคนให้ปรากฏชัด
7.# พระเยซูถูกโบยตี ถูกเฆี่ยน ถูกทรมาน และถูกเยาะเย้ยอย่างน่าอับอาย ก่อนนำไปตรึงที่กางเขน
ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น?
ทำไมพระเจ้าไม่ให้แค่จับไปตรึงทีเดียวเลยก็จบ?
ก็เพราะว่า การตายเท่านั้นยังไม่สาสมกับความชั่วร้าย เลวทรามที่เราได้กระทำ
พระเยซูต้องรับการทรมานและความอับอายขายหน้าอย่างที่สุด
เพื่อให้สมกับการกระทำอันชั่วช้าเลวทราม สกปรก ของเรา
7.@ พระเยซู ถูกเฆี่ยน และ ถูกเยาะเย้ยอย่างน่าอับอาย เพื่อฉัน
8.# ระหว่างการแบกท่อนกางเขนไปยังโกละโกธา ทหารต้องเกณฑ์ให้ซีโมนชาวไซรีน ช่วยแบกกางเขนแทนพระเยซู
ไม่ใช่เพราะทหารผู้ทรมานพระเยซูอย่างหนักมีใจเมตตาพระเยซู
แต่เพราะเวลานั้นพระเยซู พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้มารับสภาพเป็นมนุษย์ พระองค์หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
พระองค์ไม่มีปญญาแบกไม้กางเขนนั้นไปถึงโกละโกธาได้แล้ว
เมื่อทหารเห็นดังนั้น ถ้าจะไม่ได้การ งานตรึงกางเขนคงไม่สำเร็จแน่
จึงต้องให้คนช่วยแบกกางเขนไปให้แทน
8.@ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งสูงสุด ทรงสละพระกำลังของพระองค์มารับสภาพที่อ่อนแอ และอ่อนแอจนถึงที่สุด
จนไม่มีปัญญาแบกแม้แต่ไม้กางเขน
ทั้งหมดนี้เพราะพระองค์ทรงรักเรา
9.# พวกทหารจะเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาให้นักโทษดื่ม เพื่อให้เกิดอาการมึนก่อนการตรึง
เพราะว่าการตรึงกางเขนนั้นเหี้ยมโหดเกินไป
จึงต้องมีการลดความทรมานของนักโทษลงบ้าง
คล้ายๆกับที่หมอให้มอร์ฟีนเพื่อลดความเจ็บปวดของคนไข้
แต่พระเยซูไม่รับน้ำนั้น
เพราะพระองค์ต้องการจ่ายราคาให้สาสมกับความผิดบาปของเรา
โดยไม่ต้องลดราคาเลยแม้แต่นิดเดียว
9.@ ด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าใครก็คงเลือกสิ่งที่จะทำให้ตนเองเจ็บปวดทรมานลดน้อยลง พระเยซูทรงรับสภาพเป็นมนุษย์ 100% รับรู้ความเจ็บปวดเหมือนกับเราทุกประการ
ถึงกระนั้น พระเยซูเลือกเชื่อฟังพระบิดา
แม้การเชื่อฟังนี้ จะนำความเจ็บปวดแสนสาหัสมาสู่พระองค์ก็ตาม
พระเยซูสามารถให้เหตุผลว่า เชื่อฟังพระบิดามาตั้งมากมายถึงขนาดนี้แล้ว
ขอไม่เชื่อฟังแค่นิดเดียว เพื่อให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง
น่าจะไม่เป็นไร
แต่พระเยซูไ่ม่ทำเช่นนั้น
พระองค์เชื่อฟังทุกประการจนถึงที่สุด
วันนี้ อาจมีการทดลองมาถึงเรา คือ
ถ้าเพียงแต่เราเลือกไม่เชื่อฟังพระเจ้าบ้างเล็กน้อย ความเจ็บปวดทรมานของเราจะลดลงได้
เรามีพระเยซูเป็นแบบอย่างให้แก่เราแล้ว
พระองค์ไม่ยอมประนีประนอม แม้แต่จะต้องแลกด้วยความเจ็บปวด
พระองค์ยังคงเชื่อฟังพระบิดาทุกประการ
10.# เมื่อพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ย
หาว่าพระองค์กระจอกเหลือเกิน
ไม่มีปัญญาช่วยตนเองลงจากกางเขนได้
ไหนบอกว่าแน่ไง!!!
คนเหล่านี้คือใคร?
ก็คือบรรดาคนที่มาจับผิดพระเยซู แต่เถียงสู้พระเยซูไม่ได้
เลยใช้วิชามาร ใส่ร้ายป้ายสี แล้วกดดันให้เจ้าเมืองปีลาต ตรึงพระองค์ที่กางเขน
10.@ เมื่อคนหาเรื่องเยาะเย้ยเรา ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นเช่นนั้นเสมอไป
คนอื่นพูดอย่างไร คิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญเลย
แต่พระเจ้าตรัสกับเราอย่างไร คิดกับเราอย่างไรนั่นต่างหากที่สำคัญ
11.# ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงร้องว่า
“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”
แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”
พระบุตรกับพระบิดา ผูกพันกันด้วยความรักใหญ่ยิ่งกว่าความรักใดๆของมนุษย์จะเทียบได้ และมนุษย์ไม่อาจเข้าใจรักที่สุดลึกซึ้งและสูงส่งนั้นได้
แต่วันนั้น พระบิดาต้องเมินพระพักตร์จากพระเยซูผู้อยู่บนกางเขน
ก็เพราะชายผู้อยู่บนกางเขนผู้นี้ช่างชั่วช้าเลวทราม สกปรกเหลือเกิน
เกินกว่าที่พระบิดาจะทนมองดูได้
เนื่องจากความบาปชั่วของบรรดามนุษย์ทุกคนตลอดทุกชั่วชาติมารวมไว้ที่พระเยซู
ในเวลานั้นความปวดร้าวของพระเยซู
เราคงไม่มีทางเข้าใจได้ตลอดชั่วนิรันดร์
ยามที่พระบิดาผู้รักพระองค์ด้วยรักยิ่งใหญ่
ยิ่งกว่าแม่ที่รักลูกน้อยในอกของนาง
พระบิดาได้หันหน้าหนีไปจากพระองค์
เพราะพระองค์ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน
และความปวดร้าวของพระองค์ ผู้ทรงเกลียดบาปอย่างที่สุด
ต้องรับแบกบาปที่สุดแสนสกปรกและน่ารังเกียจของมนุษย์ทั้งสิ้น ไว้ที่พระองค์
11.@ ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้เราได้รับความชอบธรรมนั้นแพงเหลือเกิน
สมควรหรือที่เราจะไม่แยแสต่อความชอบธรรมที่พระองค์ซื้อมาให้เราด้วยราคาแสนแพงนี้
แล้วใช้ชีวิตในการอธรรมต่อไป
12.# เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ม่านในพระวิหารซึ่งกั้นห้องวิสุทธิสถานกับห้องอภิสุทธิสถานก็ขาดออกจากบนลงล่าง
สิ่งที่ขวางกั้นมนุษย์กับพระเจ้า ได้ขาดออกแล้ว
มนุษย์จึงมีสิทธิเข้าหาพระเจ้าได้ โดยทางพระเยซูคริสต์
บนลงล่าง หมายถึง
สิ่งนี้เป็นการกระทำจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เบื้องบน ไม่ใช่จากมนุษย์เบื้องล่าง
12.@ วันนี้ เรามีสิทธิเข้าเฝ้าพระเจ้าได้แล้ว โดยทางพระเยซูคริสต์ สิทธิพิเศษนี้ราคาแพงมาก
สมควรอย่างยิ่งที่เราจะใช้อย่างเต็มที่ ให้คุ้มค่า
13.# พระเจ้าทรงให้โยเซฟชาวอาริมาเธีย รู้จักกับปีลาต ก็เพื่อจะสามารถขอพระศพไปฝังไว้ในอุโมงค์ได้
พระเจ้าทรงให้มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่ง ได้เห็นอุโมงค์ที่เขาฝังพระศพ เพื่อว่าจะสามารถมาหาในเช้าวันฟื้นคืนพระชนม์ได้
13.@ ทุกอย่างที่เราเป็น ทุกอย่างที่เรามี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา
เมื่อเรานำมาใช้เพื่อพระเยซูที่รัก
สิ่งเหล่านั้นพระเจ้าทรงสามารถใช้ให้เป็นพระพรได้
14.# เพราะความขี้ระแวงของพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี
ที่กลัวว่าสาวกจะสร้างเรื่องว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย
กลับเป็นเหตุยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ
เพราะเมื่อพวกเขาไปขอปีลาตให้เอาทหารยามไปเฝ้าอุโมงค์ไว้
จึงเป็นการยืนยันชัดเจนว่า
พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายจริง ไม่ใช่พวกสาวกมาขโมยพระศพไป
แล้วกุเรื่องขึ้นมาเอง
14.@ แม้แต่แผนการของคนชั่วร้าย พระเจ้าก็ทรงสามารถใช้ให้เป็นพระพร
และเป็นประโยชน์ต่อแผนการของพระเจ้าได้
คำคม
“ ฉันมีสิทธิทำได้ แต่ฉันไม่ทำ เพราะฉันรักพระเยซู ”