สรุป มาระโก 16

ภาพรวม

  • มาระโก บทที่ 16 พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ปรากฏแก่เหล่าสาวก และสั่งให้พวกเขาออกไปประกาศแก่คนทั่วโลก เพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด

# สรุป

@ สื่งที่เรียนรู้

มาระโก บทที่ 16

​รุ่ง​เช้า​วัน​อา​ทิตย์ พอ​ดวง​อาทิตย์​ขึ้น
มารีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา ผู้หญิงบางคน ได้มา​ที่​อุโมงค์ เพื่อนำ​เครื่อง​หอม​ ที่ซื้อไว้มาไป​ชโลม​พระ​ศพ​ของ​พระเยซู
เมื่อ​พวก​นาง​มาถึงก็​เห็น​หิน​ก้อน​ที่ปิดปากอุโมงค์นั้น ​กลิ้ง​ออก​ไป​แล้ว

เมื่อ​พวก​นางพบชาย​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ใส่​เสื้อ​คลุม​สีขาว​นั่ง
เขาบอก​พวก​นาง ​ว่า
“พระเยซู​ทรง​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว พระ​องค์​ไม่​ได้​อยู่​ที่​นี่
จง​ไป​บอก​พวก​สา​วก รวม​ทั้ง​เป​โตร​ด้วย​ว่า
พระเยซู​จะ​​ไป​รอพวกเขาที่​แคว้น​กา​ลิลี​”

หญิง​เหล่า​นั้น​จึง​รีบ​หนี​ไป เพราะ​พิศวง​งง​งวย​และ​ตก​ใจ​จน​ตัว​สั่น

พระเยซู​ทรง​ปรา​กฏ​แก่​มารีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา
เธอจึง​ไป​บอก​พวกสาวกว่า
พระเยซู​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่ แต่พวก​เขา​ยัง​ไม่​เชื่อ

พระเยซู​ปรา​กฏ​​แก่​สา​วก​ 2 คน ระหว่าง​เดิน​ทาง​
สา​วก​ 2 ​คน​นั้น ​จึง​กลับ​มา​บอก​สา​วก​คน​อื่นๆ แต่​พวก​เขา​ไม่​เชื่อ

พระเยซู​ปรา​กฏ​กับ​สา​วก​ 11 คน
ทรง​ตำหนิ​พวก​เขา​ใน​เรื่อง​ความ​สง​สัย​และ​ใจ​ดื้อ​ดึง
เพราะ​ว่า​พวก​เขา​ไม่​เชื่อ​คน​ที่​ได้​เห็น​พระ​องค์

พระเยซู​สั่ง​พวก​สา​วก​
ให้​ออก​ไป​ทั่ว​โลก ประ​กาศ​ข่าว​ประ​เสริฐ​แก่​มนุษย์​ทุก​คน
ใคร​เชื่อ​และ​รับ​บัพ​ติศ​มา​ก็​จะ​รอด
แต่​ใคร​ไม่​เชื่อ​จะ​ต้อง​ถูก​ลง​โทษ

มี​คน​เชื่อ​ที่​ไหน ก็จะเกิดหมาย​สำ​คัญ​เหล่า​นี้​ ขึ้น​ที่​นั้น คือ
​พวก​เขา​จะ​ขับ​ผี​ออก​โดย​นาม​ของพระเยซู
พวก​เขา​จะ​พูด​ภาษา​แปลกๆ
พวก​เขา​จะ​จับ​งู​ได้​ด้วย​มือ​เปล่า
​พวก​เขา​กิน​ยา​พิษ​ใดๆ มัน​จะ​ไม่​ทำ​อัน​ตราย​แก่​พวก​เขา
พวก​เขา​จะ​วาง​มือ​บน​คน​เจ็บ​คน​ป่วย แล้ว​คน​เหล่า​นั้น​จะ​หาย​โรค

แล้วพระ​เจ้า​ก็​ทรง​รับ​พระเยซู​ขึ้น​สู่​ฟ้า​สวรรค์
ประ​ทับ​ที่​เบื้อง​ขวา​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า

พวก​สา​วก​จึง​ออก​ไป​เทศ​นา​สั่ง​สอน​ทุก​แห่ง​หน
และพระเจ้า​ทรง​ร่วม​งาน​และ​ทรง​ส​นับ​สนุน​ พวก​เขา
ด้วย​การ​ให้​มี​หมาย​สำ​คัญ​ประ​กอบ​คำ​สอนนั้น

1. ​ความ​สง​สัย​และ​ใจ​ดื้อ​ดึง เป็นเหตุให้พวกสาวก ไม่ยอมเชื่อว่า
สิ่งที่พระเยซูเคยตรัสไว้จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้

วันนี้ เราเชื่อไหมว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ จะเกิดขึ้นเป็นจริงในชีวิตของเรา
หากเราไม่กล้าเชื่อ จงกลับใจใหม่
ปฏิเสธ และขับไล่ ความสงสัยและใจดื้อดึง ออกไปจากชีวิตของเรา ในนามพระเยซู


2. เงื่อนไขเดียวของการเกิดการอัศจรรย์ ที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ คือ
ที่นั่นต้องมี​คน​เชื่อ​วางใจในพระเยซู อย่างแท้จริง

ไม่ว่าเราเป็นใคร มีฐานะต่ำต้อยเพียงใด มีความรู้น้อยสักเพียงใด มีความอ่อนแอสักเพียงใด
ถ้าเราเชื่ออย่างแท้จริง จะเกิดการอัศจรรย์ขึ้นในชีวิตของเราอย่างแน่นอน

3. การประยุกต์ใช้ มาระโก บทที่ 16 ยังมีอีก สามารถอ่านได้จากลิ้งนี้ครับ
http://bit.ly/2m0LZXp

คำคม

“ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษ ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 16

ภาพรวม

  • บทนี้กล่าวถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู แต่พวกสาวกก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งได้พบเห็นพระองค์ด้วยตนเอง พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจการประกาศข่าวประเสริฐแก่คนทั่วโลกให้แก่พวกเขา และพระองค์ทรงสนับสนุนพวกเขาด้วยหมายสำคัญการอัศจรรย์

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  เช้าวันอาทิตย์เมื่อพวกผู้หญิงมาที่อุโมงค์ พวกเธอปรารถนามาชโลมพระศพพระเยซู น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเธอเห็นว่า การชโลมพระศพเมื่อเย็นวันศุกร์นั้นทำอย่างเร่งรีบ เพราะใกล้ถึงวันสะบาโตแล้ว(วันสะบาโตเริ่ม 6 โมงเย็นวันศุกร์)
พวกเธอมีอุปสรรคใหญ่คืออุโมงค์มีก้อนหินใหญ่ปิดอยู่ พร้อมประทับตราห้ามเปิดโดยเจ้าเมืองปีลาต
แต่เมื่อพวกเธอทำส่วนของพวกเธออย่างดีที่สุด คือเตรียมเครื่องหอมแล้วมาที่อุโมงค์แต่เช้าตรู่
ส่วนที่ยากเกินกำลังของพวกเธอนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

1.@  เพียงแต่เราสัตย์ซื่อทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ด้วยความรักที่มีต่อพระเยซู
ที่เหลือสิ่งที่เกินกำลังของเรานั้น พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำให้แก่เราเอง

2.# ทูตสวรรค์บอกพวกผู้หญิงให้ไปบอกเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แก่พวกสาวก โดยระบุชื่อเปโตรเป็นพิเศษ น่าจะเพราะว่า เปโตรปฏิเสธพระเยซูถึง 3 ครั้ง และเขารู้สึกเสียใจอย่างที่สุด พระเจ้าจงใจเน้นย้ำชื่อของเปโตร เพื่อให้รู้ว่าพระองค์ไม่ถือโทษ และพร้อมที่จะพบเขาอีกครั้ง

2.@ เมื่อเราผิดพลาดพลั้งไป ไม่ว่าจะมากสักเพียงใด ไม่ว่าจะกี่ครั้งแล้วก็ตาม พระเยซูยังพร้อมให้อภัย และให้เราเริ่มต้นใหม่กับพระองค์เสมอ

3.# พระเยซูเลือกปรากฏเป็นพิเศษแก่มารีย์ ชาวมักดาลา ผู้ที่เคยมีผีสิงถึง 7 ผี
แน่นอนเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่ติดตามพระเยซู
แต่ก็ไม่อาจมีใครเถียงได้ว่า เธอเป็นผู้หญิงที่รักพระเยซูมากที่สุดคนหนึ่ง

3.@ เมื่อพระเยซูมองมาที่เรา พระองค์ไม่ได้มองดูความชั่วช้าที่เราเคยทำในอดีต แต่มองดูที่ความรักที่เรามีต่อพระองค์ในปัจจุบันนี้

4.# ไม่ว่ามารีย์ชาวมักดาลา หรือ สาวก 2 คนที่เดินทางไปเอมมาอูส ผู้ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้าเมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว จะมาบอกพวกสาวก เรื่องพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกสาวกก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
ดังนั้นเมื่อพระเยซูมาปรากฏแก่พวกเขา พระองค์จึงทรงตำหนิในเรื่อง ความสงสัยและใจดื้อดึงของพวกเขา

4.@ เมื่อพระเยซูพบพวกสาวก พระเยซูไม่ตำหนิเปโตรหรือพวกเขาเลยสักคำเดียวที่เคยทอดทิ้งพระองค์ไป
แต่พระองค์ทรงตำหนิพวกเขา ที่วันนี้ ยังคงสงสัยและมีใจดื้อดึงไม่เชื่อฟังอยู่ดี
ความผิดในอดีตไม่ใช่สาระสำคัญเลย เมื่อเทียบกับ ความเชื่อในปัจจุบัน
วันนี้ เรามีความเชื่อไว้วางใจในพระเยซู สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่หรือไม่?

5.# พระเยซูทรงมอบหมายภารกิจให้พวกสาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐไปทั่วโลก และเมื่อพวกเขาทำตามคำสั่ง พระองค์ทรงร่วมงานกับพวกเขาด้วยหมายสำคัญ การอัศจรรย์

5.@ พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ทุกคน เมื่อเราเชื่อฟัง ลงมือประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์จะเป็นผู้จัดเตรียมสิ่งจำเป็นทั้งหมดสำหรับเราเอง ทั้งเรื่องทั่วไปและเรื่องที่เหนือธรรมชาติ

คำคม

“ เมื่อเราประกาศพระเจ้าแก่ผู้คน พระองค์จะสำแดงพระองค์แก่พวกเขาเอง ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 15

ภาพรวม

  • บทนี้พูดถึงการประหารชีวิต ของพระเยซู ผู้ที่ปีลาตผู้พิพากษาคดีนี้ สรุปว่า พระเยซูไม่มีความผิด แต่ก็สั่งประหารชีวิตพระองค์ เพราะเห็นแก่พวกยิว
  • พระเยซูทรงรับทุกข์ทรมานจนตายบนไม้กางเขนเพื่อเป็นตัวแทนของเรารับโทษแทนความผิดบาปของเรา

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  เมื่อพระเยซูถูกพวกมหาปุโรหิตจับตัวมาหาปีลาต แล้วพวกเขากล่าวหาพระเยซูด้วยข้อหาหลายอย่าง แต่พระเยซูไม่พูดแก้ตัวอะไรเลย

ดังใน อสย. 53:7 ท่าน​ถูก​บีบ​บัง​คับ​และ​ถูก​ข่ม​ใจ ถึง​กระ​นั้น​ท่าน​ก็​ไม่​ปริ​ปาก เหมือน​ลูก​แกะ​ที่​ถูก​นำ​ไป​ฆ่า และ​เหมือน​แกะ​ที่​เป็น​ใบ้​ต่อ​หน้า​ผู้​ตัด​ขน​ของ​มัน​เช่นใด ท่าน​ก็​ไม่​ปริ​ปาก​ของ​ท่าน​เลย​เช่น​นั้น

1.@  พระเยซูทำทุกอย่างด้วยการเชื่อฟังพระบิดา เพื่อให้ทุกสิ่งที่พระบิดาตรัสไว้นั้นสำเร็จทุกประการ

วันนี้ สิ่งที่เราทำ เราทำตามใจตัวเอง หรือทำตามพระทัยพระบิดา?

ถึงแม้ว่าการทำตามพระทัยพระบิดาจะทำให้เราถูกเอาเปรียบ ได้รับความไม่ยุติธรรม เรายังคงเลือกทำตามใจพระบิดาอยู่หรือไม่?

2.# ทั้งปีลาตและประชาชน ต่างทราบว่า พวก​หัว​หน้า​ปุโร​หิต​จับตัว​พระ​เยซูก็เพราะว่า​ความ​อิจ​ฉา ไม่ใช่เพราะพระองค์ทำผิดประการใดเลย 

ถึงกระนั้นทั้งปีลาตและประชาชนก็ร่วมกันตัดสินประหารชีวิตพระเยซู ผู้ที่พวกเขารู้ว่าเป็นจำเลยผู้บริสุทธิ์

2.@ พระเยซูได้รับความอยุติธรรม เพื่อบาปของเราจะรับการลงโทษอย่างยุติธรรม บนพระกายของพระเยซู

3.# พวกทหารของปีลาต เยาะเย้ย ล้อเลียน ทำพระเยซูเป็นตัวตลก ดูถูกดูหมิ่น พระเยซูอย่างน่าอับอาย

3.@ พระเยซูได้รับการดูถูกเหยียมอย่างน่าอัปยศ เพื่อให้เราได้รับศักดิ์ศรีและเกียรติอันสูงส่งยิ่งกว่าเหล่าทูตสวรรค์ คือได้รับเกียรติเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด

4.# พระเยซูผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ต้องรับสภาพมนุษย์ที่อ่อนแอ และถูกซ้อม  ถูกทำร้าย เฆี่ยนตีจนหมดแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะแบกกางเขนของตน

4.@ พระเยซูผู้ทรงฤทธิ์เข้มแข็งที่สุดต้องรับสภาพอ่อนแรงอย่างที่สุด เพื่อเราผู้อ่อนแอจะเข้าส่วนในฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์

5.# พระเยซูผู้ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ทรงรับสภาพมนุษย์ผู้ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังถูกนำไปจับสลากแบ่งกัน

5.@ พระเยซูทรงสละทุกสิ่งที่ทรงครอบครองในสวรรค์ จนไม่เหลือ อะไรเลย เพื่อเราผู้ไม่มีอะไรเลย จะร่วมครอบครองทุกสิ่งกับพระองค์

6.# พระเยซูผู้เต็มด้วยสง่าราศี พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ต้องตายเยี่ยงโจรชั่วช้า ที่ไม่มีผู้คนสงสาร ไม่แม้แต่เวทนา มีแต่คนเยาะเย้ยถากถาง ว่าสมควรตายแล้ว

6.@ พระเยซูทรงทิ้งศักดิ์ศรีพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เพื่อให้เรา คนบาปผู้น่าสังเวช จะได้รับสง่าราศีร่วมกันกับพระองค์

7.# พระเยซูผู้ทรงเป็นหนึ่งกับพระบิดา ไม่เคยแยกขาดจากกันเลย ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา ถูกพระบิดาทอดทิ้ง เมินพระพักตร์ไปเสีย
เนื่องจากบนพระเยซูเต็มไปด้วยความบาปชั่วของเราทั้งหลาย สุดแสนน่ารังเกียจในฝ่ายวิญญาณ จนพระบิดาทนดูชายผู้มีบาปชั่วมากขนาดนี้ไม่ไหวแล้ว

7.@ พระเยซูถูกทอดทิ้ง ให้ตายอย่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวและเดียวดาย ถูกแยกออกจากพระบิดา
เพื่อเราผู้เป็นคนบาปชั่วช้า ผู้สมควรถูกแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ได้เข้าสนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าได้

8.# พระเยซู พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ต้องตายเยี่ยงมนุษย์ผู้เป็นเพียงแต่ผงคลี ถูกฝังไว้อย่างมนุษย์ผู้จากไป

8.@ พระเยซูผู้เป็นอมตะ ต้องตายอย่างมนุษย์ผู้เปื่อยเน่า เพื่อเราจะเข้าสู่ชีวิตเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ร่วมกันกับพระองค์

คำคม

“ พระเยซูยอมทิ้งทุกสิ่ง เพื่อให้เราได้สิ่งดีทุกอย่าง
เราจะยอมทิ้งอะไรเพื่อพระองค์บ้าง? ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 14

ภาพรวม

  • ในบทนี้กล่าวถึงช่วงเวลาก่อนและหลังพระเยซูถูกจับกุม ว่าทั้งหมดเป็นไปตามคำพยากรณ์ที่บอกไว้แล้วล่วงหน้า เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พวกผู้นำศาสนาวางแผนฆ่าพระเยซู แล้วรอสบโอกาสที่จะลงมือ
มารีย์วางแผนชโลมน้ำหอมให้แด่พระเยซู แล้วเมื่อสบโอกาสเธอก็ลงมือทำ

1.@  ไม่ว่าแผนชั่วร้าย หรือ แผนที่ดี ของมนุษย์ พระเจ้าก็สามารถใช้แผนเหล่านั้นทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จได้

ไม่ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้้นกับเรา เรารู้ได้ว่า นั่นกำลังอยู่ในแผนการของพระเจ้าผู้ทรงรักเรา

2.# มารีย์ทำสิ่งที่ดีอย่างสุดกำลังแด่พระเยซู แต่เธอก็ถูกเข้าใจผิด และถูกรุมตำหนิจากหลายต่อหลายคน
พระเยซูทรงปกป้องเธอและอวยพรเธอ

2.@ เมื่อเราทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ แม้คนจะเข้าใจผิด แต่พระเจ้าเองจะเป็นผู้ที่ปกป้องและอวยพรเรา

3.# พระเยซูให้สาวก 2 คนไปเตรียมปัสกา ซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาเพียงไปหาชายทูนหม้อน้ำไว้บนหัวเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาพบ เพราะปกติผู้ชายจะไม่ทูนหม้อน้ำไว้บนหัว เพราะงานขนน้ำไม่ใช่งานของผู้ชาย แต่เป็นงานของผู้หญิง

3.@ งานที่พระเจ้าทรงใช้ให้เราไปทำนั้น พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับงานนั้นไว้อย่างเพียงพอเสมอ

4.# พระเยซูทรงตั้งพิธีมหาสนิท ก็เพราะรักเรา ประสงค์ให้เราจดจำอยู่เสมอถึงคำสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราโดยพระกายและพระโลหิตของพระองค์

4.@ ยื่งเราระลึกถึงคำสัญญาของพระเจ้าได้บ่อยเท่าไร เราก็ยิ่งดำเนินชีวิตติดสนิทกับพระองค์มากเท่านั้น

5.# พระเยซูบอกว่าเหล่าสาวกจะทิ้งพระองค์หนีไป แต่เหล่าสาวกต่างยืนยันว่า ไม่มีวันทอดทิ้งพระเยซู ต่อมาอีกไม่นานนัก พวกเขาก็ทิ้งพระองค์ไปหมด

5.@ คำของมนุษย์ไม่อาจไว้ใจ คำของพระเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลง

6.# ในยามที่พระเยซูทุกข์ใจที่สุด ที่สวนเกทเสมเนนั้น พระองค์ยังคงสอนพวกสาวกด้วยความรัก ความห่วงใย ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​เฝ้า​ระวัง​และ​อธิษ​ฐาน เพื่อ​จะ​ไม่​ถูก​การ​ทด​ลอง จิต​วิญ​ญาณ​พร้อม​แล้ว​ก็​จริง แต่​กาย​ยัง​อ่อน​กำ​ลัง”

6.@ ในยามที่พระเยซูทรงรับสภาพมนุษย์ในช่วงที่อ่อนแอที่สุด พระองค์ยังคงรักและห่วงในพวกสาวก
บัดนี้พระองค์ทรงเต็มไปด้วยฤทธานุภาพสูงสุดอีกครั้ง พระองค์จะไม่ยิ่งรักและห่วงใยเราทั้งหลายผู้เป็นสาวกของพระองค์อย่างนั้นหรือ?

7.# ถ้าจะจับพระเยซูข้อหาสอนผิด ควรจับพระองค์ขณะสอนในพระวิหาร แต่พวกของมหาปุโรหิตถือดาบถือตะบองมาจับพระเยซูในเวลากลางคืน ทำเหมือนกับการจับโจร
ที่เป็นเช่นนั้น ในมุมมองทั่วๆไป ก็เพราะเป็นแผนการชั่วร้ายของพวกมหาปุโรหิต
แต่ความจริงก็เพราะ เพื่อเป็นไปตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์

7.@ พระเยซูถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ตามแผนชั่วของพวกมหาปุโรหิต ก็เพื่อให้แผนการดีเลิศของพระเจ้าสำเร็จ
วันนี้ หากไม่ได้รับความยุติธรรม แสดงว่าพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมมีแผนการพิเศษบางอย่างสำหรับชีวิตของเรา

8.# พวกมหาปุโรหิตจับพระเยซูมาก่อน หลังจากนั้นค่อยมาช่วยกันหาข้อหาว่าจับพระองค์ข้อหาอะไรดี ซึ่งปรากฏว่าก็หาข้อหาไม่ได้อีกอยู่ดี
จนพระเยซูบอกว่า พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
พวกเขาจึงตัดสินใจเอาข้อหานี้ละกัน
ไม่ใช่ข้อหาที่ พิสูจน์ได้ว่า พระเยซูพูดผิด เพราะเขาพิสูจน์ไม่ได้
แต่เป็นข้อหา ดันพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่เชื่อ

8.@ คนที่ไม่เชื่อ แม้เขาจะพิสูจน์ไม่ได้ว่า การไม่เชื่อของเขาถูกต้อง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี

9.# เปโตรไม่ได้เสียใจ เมื่อเขาปฏิเสธพระเยซูครั้งที่ 1 และ 2
เมื่อเขาปฏิเสธพระเยซูครั้งที่ 3 เขาก็ยังไม่เสียใจ
จนกระทั่งเมื่อไก่ขัน เขาก็ระลึกคำตรัสของพระเยซูได้ เขาจึงเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไป

9.@ พระคำของพระเจ้า จะนำเราไปสู่การเสียใจที่พระเจ้าพอพระทัย คือ เสียใจที่นำไปสู่การกลับใจใหม่

วันนี้ พระคำของพระเจ้า ทำให้เราเสียใจในสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป แล้วนำให้เราปรารถนาจะกลับใจใหม่แล้วหรือยัง?

คำคม

“ พระเยซูถูกจับ เพื่อให้เรารอด ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 13

ภาพรวม

  • ในบทนี้ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ การข่มเหง และเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วพระเยซูคริสต์ก็จะเสด็จกลับมา ดังนั้นเราทั้งหลายผู้รู้ล่วงหน้า ควรเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยการตื่นตัวฝ่ายวิญญาณอยู่ตลอดเวลา

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูบอกกับพวกสาวกว่า สิ่งที่ชาวยิวภาคภูมิใจคือวิหารอันงดงามนี้ สักวันหนึ่งจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

1.@  สิ่งของในโลกนี้ที่เราภาคภูมิใจ ในที่สุดจะเสื่อมสูญไป สิ่งในสวรรค์ที่เราภาคภูมิใจ จะคงอยู่ตลอดไป
สิ่งที่เราภาคภูมิใจในสวรรค์ ได้แก่ สิ่งที่เราได้ทำเพื่อพระเจ้าขณะที่อยู่ในโลกนี้

2.# พระเยซู บอกให้ทราบว่า เรารู้ว่าใกล้จะถึงยุคสุดท้ายแล้ว เมื่อเกิดสงคราม แผ่น​ดิน​ไหว​ใน​ที่​ต่างๆ กันดาร​อาหาร และเกิดการข่มเหง

2.@ ทุกวันนี้ เหตุการณ์ข้างต้นเกิดมากขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราควรรู้ตัวได้แล้วว่า อวสานของสิ่งทั้งปวงกำลังจะมาถึงแล้ว

เราควรใช้เวลาและชีวิตที่เหลือ ทำสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเราในสวรรคสถาน นั่นคือ การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในขณะที่เรายังมีโอกาส

3.# เมื่อการข่มเหงเกิดขึ้น พระเยซูแนะนำว่า เราควรอดทนให้ถึงที่สุด ภักดีต่อพระองค์จนวันตาย

3.@ วันนี้ พระเจ้าอนุญาตให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเรา ก็เพื่อพัฒนาความเชื่อและความอดทนของเรา เพื่อเราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เมื่อการข่มเหงมาถึง

4.# ในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์รวบรวมผู้เชื่อทั้งหมดมาด้วยกัน แล้ววันนั้นทุกคนจะรู้ความจริงว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นทางรอดเดียวสำหรับมนุษยชาติ แต่สำหรับหลายคนวันนั้นมันสายเกินไปสำหรับพวกเขาเสียแล้ว

4.@ เรารู้ความจริงได้เลยในวันนี้ด้วยความเชื่อ ไม่ต้องรอให้เห็นก่อนก็ได้
ดังนั้นเราผู้รู้ความจริงแล้วในวันนี้ เราสมควรดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความจริง
ใช้ชีวิตอย่างฉลาด อย่างมีปัญญา ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ใช่เพื่อตนเองแต่เพื่อพระองค์ผู้กำลังจะเสด็จกลับมา

5.# เราไม่สามารถรู้ได้ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาเมื่อไรก็จริงอยู่ แต่เราสามารถสังเกตได้ เหมือนรู้ได้ว่าฤดูร้อนใกล้มาแล้ว เมื่อสังเกตว่ามะเดื่อเริ่มแตกใบแล้ว
เมื่อเหุตการณ์ในพระคัมภีร์ ทยอยเกิดขึ้นเป็นจริงจนเกือบหมดเช่นนี้แล้ว เราควรสังเกตและรู้ได้แล้วว่า วันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
ดังนั้น ได้เวลาแล้วที่เราควรดำเนินชีวิตอย่างเฝ้าระวัง เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์

5.@ เราควรเลิกหลับ หรือสะลึมสะลือ ฝ่ายวิญญาณได้แล้ว
ได้เวลาตื่นตัว เอาจริงเอาจังในเรื่องฝ่ายวิญญาณได้แล้ว เพราะโอกาสที่เราจะทำเช่นนั้นได้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

คำคม

“ จงตื่นตัวและเฝ้าระวัง เพราะวันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมานั้นใกล้เต็มทีแล้ว ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 12

ภาพรวม

  • ในบทนี้ทั้งคำอุปมาและคำสอนของพระเยซู มุ่งชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีความรู้มากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าไม่เชื่อในพระคำของพระองค์ และไม่ได้กระทำแด่พระองค์ด้วยจริงใจ สิ่งที่เขารู้และกระทำนั้น ไม่มีความหมายอะไรเลย

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูตรัสคำอุปมา เรื่องคนเช่าสวนองุ่น ซึ่งเล็งถึงพวกผู้นำศาสนา ซึ่งมีหน้าที่อบรมสั่งสอน ประชาชน(สวนองุ่น)ให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาหาประโยชน์ให้กับตนเอง นำประชาชนห่างไกลพระเจ้า เมื่อพระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะมาพวกเขาก็ไม่ยอมฟัง ทำร้ายบ้าง ฆ่าทิ้งบ้าง
เมื่อพระเจ้าส่งพระบุตรลงมา พวกเขาเกรงว่าพระบุตรจะมาเอาประโยชน์ที่เขาได้รับจากประชาชนไป เอาความศรัทธาจากประชาชนไป พวกเขาจึงคิดจะฆ่าพระบุตรทิ้งเสีย เพื่อจะครอบงำประชาชนได้ตลอดไป

หมายเหตุ : ตาม​กฎหมาย​ของ​ยิวนั้น ถ้าที่ดิน​ใด​ที่​ไม่​มี​ทายาท​อ้าง​กรรมสิทธิ์​ให้​ถือ​ว่า ​ไม่​มี​เจ้าของ​ ใคร​จะ​ยึด​เป็น​กรรมสิทธิ์​ก็​ได้ ​ดังนั้น​คน​เช่า​สวน​จึง​วางแผน​ฆ่า​บุตร​เจ้าของ​สวน​เพื่อ​ยึด​ครอง​กรรมสิทธิ์​ที่ดิน​แทน

พระเยซูจึงพยากรณ์ว่า ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจะเอาการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า ไปจากพวกเขาแล้วให้แก่คนต่างชาติแทน
แต่พวกเขาจะถูกทำลายเสีย

ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ข่าวประเสริฐได้แพร่ไปทั่วโลก และในค.ศ.70 อิสราเอลถูกโรมทำลายเสียสิ้น

1.@  อิสราเอลปฏิเสธพระเจ้า และปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาจึงไม่ได้รับการช่วยกู้ แล้วการช่วยกู้จึงตกไปยังคนต่างชาติ
วันนี้ ถ้าเราปฏิเสธไม่รับพระเมตตาจากพระเจ้า โดยไม่ยอมอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้
พระเจ้าก็ยังคงเทพระเมตตาลงมาอยู่ดี ในเหตุการณ์นี้
แต่จะไม่ได้มาถึงเรา แต่จะไปถึงคนที่ปรารถนาพระเมตตาจากพระองค์

2.# พวก​ฟา​ริสี​และ​พวก​เฮ​โรดซึ่งเดิมเกลียดกันมาก ได้ร่วมมือกันเพราะพวกเขามีศัตรูร่วมกัน คือ พระเยซู ผู้ที่พวกเขาเกลียดมากกว่าเกลียดกันและกัน
พวกเขาได้มาจับผิดพระเยซู โดยถามว่าควรเสียส่วยให้ซีซาร์หรือไม่
หากพระเยซูตอบว่า “ควร” ประชาชนก็จะเกลียดพระองค์
หากพระเยซูตอบว่า “ไม่ควร” ก็จะทำผิดต่อกฎหมายโรมและจะถูกจับกุมตัว
พระเยซูตอบว่า “ของของซีซาร์ จงถวายแด่ซีซาร์” แปลว่า คนที่ใช้เงินตราภายใต้การปกครองของซีซาร์ก็สมควรเสียส่วยให้ซีซาร์
และ “ของของพระเจ้า จงถวายแด่พระเจ้า” แปลว่า ทุกสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีนั้น อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์ทุกคนควรใช้ทุกสิ่งที่มีถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่ใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง อย่างพวกผู้นำศาสนาในเวลานั้น
คำตอบนี้ พวกทหารโรมพอใจ และพวกประชาชนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

2.@ วันนี้ สิ่งที่เรามี เราได้ใช้กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า?
เวลา เงินทอง ความสามารถ บ้าน รถ ทรัพย์สินที่มี ฯลฯ

3.# พวกสะดูสีมาทดลองพระเยซูบ้าง ด้วยคำถามว่า เวลาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว หญิงที่มีสามีหลายคน จะเป็นภรรยาของใครกันแน่? เป็นคำถามเพื่อเย้ยหยันเนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย
พระเยซูตอบพวกเขาว่า เพราะพวกเขาไม่รู้พระคัมภีร์และไม่เชื่อพระคัมภีร์ พวกเขาจึงไม่เข้าใจ
คนที่เป็นขึ้นมาจากความตายจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ที่ไม่มีการสมรสกัน และการเป็นขึ้นมาจากความตายมีจริงๆ จะเกิดขึ้นจริงๆ

3.@ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในวันนี้ ที่ทำให้เราหวั่นไหว เป็นไปได้ว่า ก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้าดีพอ หรือยังไม่มีความเชื่อในพระคำของพระเจ้าจริงๆ

4.# พระเยซูสอนว่า บัญญัติข้อใหญ่ที่สุด คือรักพระเจ้าสุดใจ รองลงมา คือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
เมื่อธรรมาจารย์คนที่ถามพระเยซูเรื่องนี้ แสดงความเห็นพ้องกับพระเยซู
พระองค์ทรงบอกว่า “”เขาไม่ไกลจากแผ่นดินสวรรค์แล้ว”
แสดงว่า ต่อให้เขารู้และเข้าใจขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์เลย แค่อยู่ไม่ไกล
เพราะต่อให้รู้ มนุษย์ก็ไม่สามารถทำเองได้ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระเยซู

4.@ วันนี้ เราตั้งใจอย่างจริงจังแล้วหรือยัง ที่จะใช้ชีวิตรักพระเจ้าสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเต็มกำลัง?
หากเราตั้งใจเช่นนั้น เราสามารถทูลขอต่อพระเยซูอย่างจริงจังและจริงใจ ให้พระองค์ช่วยเราให้สิ่งทั้งสองนี้เกิดขึ้นเป็นจริงในชีวิตของเรามากขึ้นๆทุกวัน

5.# พระเยซูถามเกี่ยวกับพระมาซีฮาเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร ในเมื่อดาวิดเรียกพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า?
สิ่งนี้ไม่อาจตอบได้ นอกจากจะเชื่อว่า พระเยซูผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด เป็นพระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์
แต่พวกธรรมจารย์เลือกไม่เชื่อ พวกเขาจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้

5.@ วันนี้ เหตุที่เรายังไม่เข้าใจ อาจเป็นไปได้ว่า เรายังไม่ยอมเชื่อพระคำของพระเจ้าอย่างสุดใจ

6.# พระเยซูตำหนิพวกธรรมาจารย์ ว่าทำสิ่งชั่วร้ายแต่แสร้งทำตัวเป็นคนดี คนแบบนี้จะถูกลงโทษ หนักยิ่งกว่าคนชั่วคนอื่นๆเสียอีก

6.@ สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจคือ การเสแสร้ง
วันนี้ เมื่อเรามาเข้าเฝ้าพระเจ้า ควรถอดหน้ากากออก เข้าหาพระองค์อย่างจริงใจ อย่าเสแสร้งทำตัวเป็นคนดี

7.# พระเยซูสอนสาวกว่า หญิงม่ายที่ถวายเพียง 2 เหรียญทองแดง ประมาณ 5 บาท เป็นผู้ถวายมากกว่าใครทั้งหมด เพราะพระเจ้าไม่ได้ดูที่ปริมาณเงิน แต่ดูที่ปริมาณหัวใจที่ถวายแด่พระองค์

7.@ วันนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรแด่พระเจ้าก็ตาม พระองค์ไม่ได้ทอดเพระเนตรดูที่ความยิ่งใหญ่ของงาน แต่ดูที่ท่าทีในหัวใจของเราว่าทำแด่พระองค์ด้วยความรักที่มีต่อพระองค์มากเพียงใด

คำคม

“ สิ่งที่เราทำในวันนี้ เราทำด้วยความรักที่มีต่อพระเยซูมากเพียงใด ?”

ขุมทรัพย์ มาระโก 11

ภาพรวม

  • ในบทนี้ชี้ให้เห็นถึงผลของความเชื่อ โดยความเชื่อนั้นพวกสาวกจึงพบการจัดเตรียมลูกลา โดยความเชื่อประชาชนจึงสรรเสริญพระเยซู โดยความเชื่อต้นมะเดื่อจึงเหี่ยวแห้งไป และโดยความไม่เชื่อนั้นพวกฟาริสีจึงไม่ได้รับคำตอบ

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูจะต้องเสด็จเข้าเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์ผู้ถ่อมใจ ต้องนั่งลูกลาเข้าเยรูซาเล็ม พระองค์จึงทรงใช้สาวก 2 คน ไปตระเตรียมลูกลานั้น

สาวกไม่มีเงินมากนัก และอาจจะไม่รู้จักใครแถวนั้น ดูเหมือนภารกิจที่ได้รับมอบหมายนี้ยากเอาการ

แต่สิ่งที่ยากนั้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่งานง่ายๆที่ต้องทำตามด้วยความเชื่อเท่านั้น
คือ เข้าไปในหมู่บ้านแล้วจูงลูกลามาเลย

1.@  ในการติดตามพระเยซู เรื่องยากๆพระองค์ทรงจัดเตรียมให้เราแล้ว เหลือแต่งานง่ายๆที่เราต้องเชื่อฟังกระทำตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น

วันนี้การติดตามพระเยซูนั้นไม่ยากเลย แค่เชื่อฟังเท่านั้น ที่เหลือพระองค์ดูแลเอง

2.# พระเยซูทรงสาปต้นมะเดื่อที่ไม่มีผล เพื่อสำแดงให้เห็นว่า
ถ้าพวกสาวกมีความเชื่อก็สามารถทำได้ทุกสิ่ง
แม้สิ่งนั้นจะดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลในมุมมองของมนุษย์ก็ตาม

2.@ ถ้ามีความเชื่อมากพอสำหรับเรื่องใดๆ หากเรื่องนั้นไม่ได้ขัดแย้งกับพระคำของพระเจ้า เรื่องเหล่านั้นก็ล้วนแต่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

วันนี้เราเชื่ออย่างไม่สงสัยหรือไม่ว่า พระเจ้าสามารถช่วยเราให้พ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้?

3.# พระเยซูทรงขับไล่คนซื้อขายในพระวิหาร และห้ามคนที่ใช้พระวิหารเป็นทางลัดเพื่อขนสิ่งของ เพราะพระเยซูต้องการบอกให้คนทั้งหลายทราบว่า การใช้พระวิหารนั้น ไม่สมควรที่จะใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่ควรใช้เพื่อพระเจ้าเท่านั้น คือใช้ในการเข้าเฝ้าพระเจ้า ในวิหารสำหรับการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านคำอธิษฐาน

3.@ วันนี้ เราใช้ตัวเรา ซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า ทำสิ่งต่างๆนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ใครได้รับประโยชน์จากการกระทำเหล่านั้น พระเจ้าหรือตัวเราเอง?

วันนี้ ตัวเราซึ่งเป็นนิเวศน์แห่งการอธิษฐาน เราใช้ตัวเราสำหรับการอธิษฐานมากเพียงใด?

4.# พระเยซูทรงสอนว่า ถ้าอธิษฐานด้วยความเชื่อ ก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ ขณะเดียวกันพระองค์อธิบายเพิ่มเติมว่า การอธิษฐานด้วยความเชื่อนั้น จะสำแดงออกเป็นการเชื่อฟัง

เช่นการอธิษฐานด้วยความเชื่อ แต่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ที่พระองค์ทรงบอกให้ยกโทษให้ผู้อื่น ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมยกโทษ แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอธิษฐานด้วยความเชื่อได้อย่างไร

4.@ คำอธิษฐานที่มีพลังทำให้เกิดผลได้นั้น คือคำอธิษฐานด้วยความเชื่อ
และคำอธิษฐานด้วยความเชื่อจะสะท้อนออกมาเป็นการเชื่อฟังของผู้ที่อธิษฐานนั้น

5.# พวก​หัวหน้า​ปุโร​หิต พวก​ธรร​มา​จารย์ และ​พวก​ผู้​ใหญ่ มาถามพระเยซูว่า พระเยซูมีสิทธิอะไรมา สอน ทำการอัศจรรย์และสำแดงสิทธิอำนาจในพระวิหาร เช่น ไล่คนค้าขายออกไป
พระเยซูชี้ให้พวกเขาเห็นว่า ทั้งที่รู้ว่าสิทธิอำนาจที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้รับนั้นมาจากพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่เชื่อยอห์นเลย
ดังนั้นต่อให้พระเยซูตอบไป ว่าเป็นสิทธิอำนาจมาจากพระเจ้า พวกเขาก็คงยังจะไม่เชื่ออยู่ดี
พระเยซูจึงทรงไม่ตอบพวกเขา เพราะรักพวกเขาไม่ประสงค์เพิ่มโทษ เพิ่มข้อหาปฏิเสธสิทธิอำนาจของพระเยซูเข้าไปอีก 1 ข้อหา นอกจากข้อหาที่พวกเขาปฏิเสธสิทธิอำนาจของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา

5.@ บางครั้ง พระเจ้าไม่ได้ตอบคำอธิษฐานของเรา ดูเหมือนกับว่าพระองค์ไม่สนใจที่จะตอบเรา แต่ความจริงแล้วเพราะพระองค์ทรงรักเรา จึงเลื่อนการตอบคำอธิษฐานนั้นออกไปก่อน

คำคม

“ ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ โดยความเชื่อแท้
และความเชื่อแท้จะสะท้อนออกเป็นการเชื่อฟังอย่างแท้จริง ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 10

ภาพรวม

  • บทนี้พูดถึงความเข้าใจของพวกสาวกหลายประการ สาวกไม่เข้าใจเรื่องการหย่า ไม่เข้าใจเรื่องเด็กเล็กๆ ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐีเข้าสวรรค์ไม่ได้ ไม่เข้าใจเรื่องคำพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ ไม่เข้าใจเรื่องการเป็นใหญ่ที่แท้จริง
  • แล้วจบลงด้วยเรื่องบารทิเมอัส ซึ่งก็คงไม่เข้าใจเรื่องข้างต้นทั้งหมดด้วยเช่นกัน แต่มีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเยซู เขาจึงติดตามพระเยซูไป

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  สิ่งที่พระเยซูทรงทำอยู่เสมอ(ข้อ1) คือ สั่งสอนคนทั้งหลายที่มาหาพระองค์

1.@  วันนี้ ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสอนเรา ในการดำเนินชีวิต โดยการสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านพระคำของพระองค์

ให้เราเอาใจใส่และจดจ่อต่อการสอนที่มาจากพระเจ้าเบื้องบนเถิด ด้วยการเอาใจใส่พระคำของพระองค์

2.# พระเจ้าผูกพันสามีภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ต้องการให้พรากจากกัน แต่คนอิสราเอลยังคงดื้อดึง ต้องการจะแยกจากกัน โมเสสจึงบัญญัติไว้ว่า หากอยากจะหย่าจริงๆ ต้องทำหนังสือหย่า ซึ่งเป็นการเพิ่มขั้นตอนให้ยุ่งยากมากขึ้น จะได้มีเวลาคิดพิจารณาใหม่ เผื่อจะเปลี่ยนใจไม่หย่า

2.@ เมื่อเราจงใจทำขัดขืนน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์จะส่งหลายสิ่งมาขัดขวางเรา เพื่อไม่ให้เราทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ
แต่ถ้าจิตใจของเราแข็งกระด้าง ยังไงก็จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ก็จะปล่อยให้เราทำตามใจปรารถนาอันดื้อดึงของเรานั้น ซึ่งในที่สุดจะเป็นผลร้ายต่อตัวเราเอง

จงกลับใจ ขณะที่ยังมีโอกาสกลับใจ

3.# ในสมัยนั้น มีผู้ชายบางคนเมื่อแต่งงานได้สักพัก เริ่มเบื่อภรรยา ก็เลยทำหนังสือหย่าตามช่องทางที่โมเสสเปิดไว้ให้ แล้วก็ไปแต่งงานกับหญิงคนใหม่ ที่สาวกว่า สดใสกว่า
พระเยซูจึงสอนว่า การทำเช่นนั้นเป็นการผิดประเวณี

3.@ การใช้ช่องของกฎระเบียบต่างๆ ทำตามใจปรารถนาของตนเอง ที่ขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แม้ไม่ผิดกฎระเบียบ แต่เป็นการทำผิดต่อพระเจ้า
เพราะเป็นการทำโดยไม่คำนึงถึงว่าพระเจ้าจะรู้สึกเช่นไร

เช่น “ฉันเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ ขณะอาจารย์เทศนา ก็ไม่ผิดอะไรนี่นา ไม่ได้ไปรบกวนใคร” ซึ่งเป็นความจริง แต่เขาลืมคิดไปว่า แล้วพระเจ้าจะรู้สึกอย่างไร

4.# พระเยซูไม่พอพระทัยพวกสาวกที่ห้ามไม่ให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาพระองค์

4.@ วันนี้ เรากำลังทำให้พระเยซูไม่พอใจอยู่หรือเปล่า ด้วยการกีดกันเด็กออกจากเรื่องของพระเจ้า เพราะคิดว่าพวกเขาคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก

วันนี้ เรากำลังทำให้พระเยซูชื่นใจอยู่หรือเปล่า ด้วยการพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้เด็กๆได้มีโอกาสเข้ามารู้จักกับพระเยซูมากยิ่งขึ้น

5.# พระเยซูสอนว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าเขาไม่ยอมรับแผ่นดินของพระเจ้า เหมือนเด็กเล็กๆ เขาจะไม่มีทางเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้

5.@ การยอมรับแผ่นดินสวรรค์เหมือนเด็กเล็กๆ คือ รับด้วยความเชื่ออย่างจริงใจ และไว้วางใจ

ทุกวันนี้ บางคนต้อนรับเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่จิตใจยังเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ไม่เหมือนได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่ยอมรับแผ่นดินของพระเจ้าแบบเด็กเล็กๆ ด้วยการวางใจพระเยซูอย่างสุดใจ

เนื้อหาเกี่ยวกับ รับแผ่นดินสวรรค์เหมือนเด็กเล็กๆ รับฟังได้จากคลิปนี้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=6F5ufnp80lA

6.# เพราะว่าเศรษฐีหนุ่มวางใจในทรัพย์สมบัติ(ข้อ24) เขาจึงไม่มีใจเหลือที่จะวางใจในพระเยซูสุดใจได้

6.@ วิธีตรวจดูว่าเราวางใจในอะไรจริง ดูง่ายๆจาก
มีอะไรบ้าง หากเราต้องสูญเสียมันไปแล้ว เราคงครียด กังวล และคิดว่าเราคงไม่มีทางผ่านวิกฤตชีวิตไปได้แน่
มีพระเจ้าอยู่ด้วยก็ไม่พอ ต้องมีสิ่งนี้ด้วย จึงหายกังวล

เช่น มีพระเจ้าอย่างเดียว เครียด กังวล คิดว่าไปไม่รอดแน่
แต่ถ้ามีเงินสิบล้านบาทในกระเป๋า โอ้ว..หายเครียดเลย คนเช่นนี้ วางใจในเงิน 10 ล้านบาทมากกว่าพระเจ้า

7.# สำหรับคนยิวถือว่า คนรวยคือคนที่พระเจ้าอวยพร ดังนั้นเมื่อพระเยซูตรัสว่าคนรวยเข้าสวรรค์ ยากกว่าอูฐรอดรูเข็ม ดังนั้นพวกสาวกจึงประหลาดใจ แล้วพูดกันว่า แล้วจะมีใครสักคนไหมนี่ที่เข้าได้
พระเยซูจึงบอกพวกเขาว่า ไม่มีมนุษย์สักคนทำด้วยตนเองได้ แต่โดยพระเจ้า พระองค์สามารถทำให้ผู้ที่วางใจในพระองค์ ติดตามพระองค์ เข้าไปได้

7.@ การรอดพ้นนรกเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์
แต่โดยพระเจ้า พระองค์ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้น
บัดนี้ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูอย่างจริงใจ สามารถพ้นนรก เข้าสู่สวรรค์ได้

คลิปแนะนำ “พ้นนรก สู่สวรรค์”
https://www.youtube.com/watch?v=3p_LlcYExcA

8.# พระเยซูทรงสัญญาว่า ผู้ที่สละสิ่งต่างๆเพื่อเห็นแก่พระองค์และข่าวประเสริฐของพระองค์ เขาจะเกิดผลดีทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
แต่บางคนเริ่มต้นสละสิ่งต่างๆเพื่อพระองค์ แต่พอเวลาผ่านไปเขากลับสละพระองค์ไปหาสิ่งต่างๆ

8.@ การติดตามพระเยซูอย่างสุดใจ มีกำไรอย่างแน่นอน
แต่การติดตามพระองค์จำเป็นต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องของวันนี้
การที่เราเคยเต็มใจเชื่อฟังพระองค์มาแล้วนั้น ย่อมสำคัญน้อยกว่า วันนี้เรายังเต็มใจเชื่อฟังติดตามพระองค์ต่อไปหรือไม่

9.# ขณะที่พระเยซูกำลังไปเยรูซาเล็ม พวกสาวกก็ประหลาดใจในคำพยากรณ์ที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ ทั้งที่พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นครั้งที่สามแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ
ส่วนประชาชนที่ติดตามพระเยซูไปก็เริ่มหวาดกลัวพวกฟาริสี เพราะพอเดาได้ว่าพวกนั้นคงกำลังจะหาทางทำลายพระองค์เป็นแน่ แล้วพวกเขาตามมาแบบนี้จะโดน ทำร้ายไปด้วยหรือเปล่า

9.@ วันนี้ อาจมีหลายอย่างที่เรายังไม่เข้าใจในพระคำของพระเจ้า และในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต เรายังคงติดตามพระเยซูเต็มใจติดตามพระเยซูต่อไปหรือไม่?

เราอาจไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร แต่เรารู้แน่ว่าเรื่องวันพรุ่งนี้อยู่ในการควบคุมของใคร

10.# ขณะที่พระเยซูเน้นย้ำนักหนาว่าพระองค์กำลังจะไปตายที่เยรูซาเล็ม แต่พวกสาวกก็ยังคงแย่งกันเป็นใหญ่อยู่ดี ก็เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ หลักการของสวรรค์ที่แตกต่างจากหลักการของโลกอย่างสิ้นเชิง
หลักการแห่งโลกนี้ ผู้น้อยปรนนิบัติผู้ใหญ่
หลักการแห่งสวรรค์ ผู้ใหญ่ปรนนิบัติผู้น้อย

10.@ หากอยากเป็นผู้ต่ำต้อยในสวรรค์ จงเรียกร้องให้คนปรนนิบัติเราในโลกนี้

11.# ก่อนพบพระเยซู บารทิเมอัส ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า ให้ตามองเห็นได้
หลังจากพบพระเยซู เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า ได้ติดตามพระองค์ไป

11.@ วันนี้ เราพบพระเยซูแล้ว อะไรเป็นสิ่งที่เราปรารถนามากที่สุด?
ถ้าไม่ใช่ติดตามพระองค์ไป เป็นไปได้ว่าเรายังไม่ได้พบกับพระองค์อย่างแท้จริง

คำคม

“ ติดตามพระคริสต์ คุ้มทั้งชีวิตนี้ และชีวิตหน้า ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 9

ภาพรวม

  • พระเยซูทรงเปิดเผยแก่พวกสาวกว่า พระองค์เป็นพระมาซีฮา และพระองค์จะต้องถูกประหารแล้วจะเป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ได้วางแบบอย่างแก่พวกเขา คือพระเจ้าเสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ผู้แสนเล็กน้อย เมื่อพวกเขาเชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาก็สมควรกระทำแบบเดียวกับพระองค์ ด้วยการปรนนิบัติผู้เล็กน้อยทั้งหลาย

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูตรัส​​ว่า “มี​บาง​คน​ที่​ยืน​อยู่​ที่​นี่ จะ​ไม่​พบ​กับ​ความ​ตาย จน​กว่า​จะ​ได้​เห็น​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า​มา​ด้วย​ฤทธิ์​เดช”
น่าจะหมายถึง แผ่นดินของพระเจ้าเริ่มต้นขึ้นด้วยฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาในวันเพ็นเทคอส

1.@  แผ่นดินของพระเจ้า ถูกสถาปนาและขยายออกไปด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
ดังนั้นในการรับใช้พระเจ้าเราจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าในทุกขั้นตอน

2.# พระเยซูทรงจำแลงพระกายให้ สาวก 3 คนเห็น เพื่อว่าพวกเขาจะเป็นพยานเพื่อพระองค์เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
ดังนั้นพระองค์จึงทรงห้ามพวกเขาว่า อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ก่อน

2.@ พระเจ้าทรงมีเวลา และวิธีการของพระองค์ การทำสิ่งที่ดูเหมือนดีบางอย่าง
อาจกำลังขัดขวางน้ำพระทัยของพระเจ้าก็เป็นได้
หากเราไม่เชื่อพระคำของพระองค์

3.# คำพยากรณ์ว่า เอลียาห์ต้องมาก่อนพระคริสต์นั้น ได้เกิดขึ้นแล้วและสำเร็จแล้ว คือยอห์น ผู้ให้บัพติศมามา และจบชีวิตลงเรียบร้อยแล้ว
ถึงกระนั้นพวกสาวกก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพระเยซูอธิบายให้พวกเขาฟัง

3.@ หลายอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราก็เข้าใจพระคำของพระเจ้าตอนนั้น
แต่ขณะเดียวกันมีอีกหลายอย่าง แม้เกิดขึ้นแล้วเราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
จนกระทั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณ
ให้เราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในเหตุการณ์นั้น

วันนี้ ให้เราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณของเรา ให้เราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้กันเถิด

4.# พวกสาวกขับผีที่สิงในเด็กไม่ออก เพราะพวกเขาขาดความเชื่อ
แล้วพระเยซูจึงแนะนำเขาว่า วิธีที่จะขับออกได้ โดยการอธิษฐาน

นั่นคือ โดยการอธิษฐานเป็นการเพิ่มพูนความเชื่อของเรานั่นเอง

4.@ วันนี้ เหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญนี้ เราสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความเชื่อ
แต่ถ้าเรายังขาดความเชื่อ ยังหวาดกลัว ยังกังวล ยังสงสัย
วิธีที่ดีที่สุดที่เราควรทำ คือ อธิษฐานต่อพระเจ้าเผื่อเหตุการณ์นั้นให้มากยิ่งขึ้น จนกว่าความเชื่อของเราจะเพิ่มพูน จนเราไม่กลัวหรือกังวลกับเรื่องนั้นอีกต่อไป

5.# พระเยซูตรัสว่า “ใคร​เชื่อ​ก็​ทำ​ให้​ได้​ทุก​สิ่ง”

5.@ วันนี้ หากเราเชื่อวางใจว่า พระเยซูทรงแก้ไขปัญหาในชีวิตของเราได้
แล้วทูลขอพระองค์ช่วยเราในปัญหานั้น
ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โตสักเพียงใด ก็จะถูกแก้ไขได้ โดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซู

6.# พระเยซูทรงบอกพวกสาวกอีกครั้ง ว่า พระองค์จะถูกจับ ถูกฆ่า แล้วสามวันจะเป็นขึ้นมาใหม่
พระองค์บอกตรงๆ ชัดเจน ง่ายๆ ไม่ได้ใช้คำยากอะไรเลย
แต่พวกสาวกไม่เข้าใจ เพราะสิ่งที่พระองค์บอกนั้น ขัดแย้งกับความคิดของพวกเขา
พวกเขาเชื่อว่า พระเยซูเป็นพระมาซีฮา และจะมาช่วยกู้อิสราเอล และมาเป็นกษัตริย์ครอบครอง
แล้วพระมาซีฮาจะถูกฆ่าตายได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ก็เลย งงยิ่งนัก

6.@ เมื่อพระคำของพระเจ้า ขัดแย้งกับ ความคิด ความเข้าใจ และความรู้ของเรา
จงเลือกเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า

7.# พระเยซูสอนว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงในฝ่ายวิญญาณ คือผู้ที่ปรนนิบัติผู้อื่น

เพราะการปรนนิบัติผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะเล็กน้อยสักเพียงใด
หรือแม้แต่เป็นเด็กเล็กๆที่ไม่สำคัญอะไรก็ตาม
นั่นก็เป็นการปรนบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง

7.@ หากวันนี้ เราอยากจะรับใช้พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด จงปรนนิบัติรับใช้ มนุษย์ผู้แสนต่ำต้อยที่พระองค์ทรงรักเถิด

8.# พระเยซูสอนว่า คนที่กระทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระคริสต์ ไม่ว่าคนจะรู้หรือไม่ก็ตามว่า เขาได้ทำเพื่อพระองค์
แต่พระเจ้าทรงทราบ และจะเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่เขา

8.@ วันนี้ สิ่งที่เราทำเพื่อพระเจ้า ไม่สำคัญเลยว่า มันจะเล็กน้อยเพียงใด และจะมีคนเห็น จะมีคนรับรู้หรือไม่
เพราะพระเจ้าผู้ทรงทราบทุกสิ่งจะเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่เราในทุกการกระทำที่เราทำเพราะความรักที่มีต่อพระองค์

9.# ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซู ไม่ว่าเขาจะต่ำต้อยสักเพียงใดก็ตาม เขามีค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า
ใครก็ตามที่ทำร้าย หรือก่อให้เกิดสิ่งร้ายแก่เขา คนนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

9.@ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตาม อย่ายอมทำร้ายผู้วางใจในพระเยซู ที่พระองค์ทรงรักนั้น

คำคม

“ ความเชื่อเพิ่มพูนได้ด้วยการอธิษฐาน จงอธิษฐานจนความกลัวหมดไป ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 8

ภาพรวม

  • พวกฟาริสีมาหาพระเยซูเพื่อขอให้สำแดงหมายสำคัญ พระเยซูไม่ได้สำแดงหมายสำคัญอะไรแก่พวกเขา ประชาชนมากกว่า 4,000 คนมาหาพระเยซู เพื่อให้พระองค์ทรงสอนและช่วยพวกเขา พระเยซูทรงสอน รักษาโรคพวกเขาและสำแดงการอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาพวกเขา
  • ได้ของสิ้นทั้งโลก ได้เห็นหมายสำคัญยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้พบกับพระเยซูจริงๆ จะมีประโยชน์อะไร แต่ใครพบพระเยซูจริงๆก็จะได้ทุกสิ่งทั้งในยุคนี้และยุคหน้า

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  คนมากกว่า 4,000 คน ผู้มาหาพระเยซู พวกเขาไม่รู้จักเตรียมการให้ดี ไม่เตรียมอาหารมาด้วย
บัดนี้พวกเขาไม่มีอะไรกิน หิวมาก เป็นความผิดของพวกเขาเอง เป็นความบกพร่องของพวกเขาเอง
พระเยซูไม่ได้ทรงตำหนิพวกเขา แต่พระองค์ทรงสงสารพวกเขา
และทรงการอัศจรรย์เพื่อช่วยเหลือพวกเขา

1.@  วันนี้ ปัญหาที่เรากำลังเผชิญ อาจเกิดจากความอ่อนแอ ความบกพร่อง ความไม่เอาไหนของเราเอง

เมื่อเรานำปัญหานั้นมาหาพระเยซู พระองค์จะไม่ทรงตำหนิเรา

แต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา จะสงสารเรา
และจะทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากปัญหาเหล่านั้น

2.# พระเยซูมอบหมายภารกิจที่เกินกำลังให้แก่พวกสาวก
เป็นภารกิจที่เป็นไม่ได้สำหรับพวกเขา ที่จะเลี้ยงอาหารคนมากกว่า 4,000 คน ที่หิวโซ ในพื้นที่กันดารเช่นนั้น

แล้วสาวกก็นำสิ่งเท่าที่พวกเขาหาได้มาให้พระเยซู ขนมปัง 7 ก้อน กับปลาตัวเล็กๆ

แล้วพระเยซูก็ช่วยให้พวกเขาทำภารกิจที่มอบหมายนั้นให้สำเร็จได้อย่างสง่างาม

2.@  วันนี้ สิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ อาจดูเหมือนเกินกำลัง หรือเป็นไม่ได้สำหรับเรา

ให้เรารีบนำสิ่งที่เรามีอยู่นั้น กำลัง เวลา ความสามารถ หรืออื่นๆ เท่าที่เรามี มาถวายแด่พระองค์อย่างจริงใจ

แล้วพระองค์เองจะทรงใช้สิ่งเหล่านั้นทำให้สิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำนั้นสำเร็จ

3.# พวก​ฟาริสี​ทำให้พระเยซูต้องถอนหายใจ
เพราะพวกเขามาหาพระเยซูด้วยความไม่เชื่อ
แล้วมาขอ​ให้พระ​องค์​สำแดง​หมาย​สำคัญ​จาก​ฟ้า​สวรรค์ ให้พวกเขาดู
พระองค์จึงไม่สำแดงอะไรแก่พวกเขา

3.@ คนที่มาหาพระเยซูด้วยความไม่เชื่อ แต่อยากลองดูว่าพระเยซูเก่งจริงหรือเปล่า
คนเหล่านั้นจะไม่ได้พบกับพระองค์จริงๆ

แต่ผู้ที่มาหาพระเยซูด้วยความเชื่อ ด้วยความปรารถนาจากใจจริง
อยากให้พระเยซูทรงช่วยเขา

คนเหล่านั้นจะพบกับพระเยซู
และมีประสบการณ์ว่า ใช่แล้วพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา
สามารถช่วยเขาได้ ทั้งในยุคนี้และยุคหน้า

วันนี้ เรามาหาพระเยซูด้วยท่าทีเช่นใด?

เราปรารถนาจริงๆที่จะให้พระองค์ทรงช่วย และเชื่อจริงๆว่าพระองค์ช่วยเราได้ แล้วหรือยัง?

4.# เมื่อพวกสาวกลืมเอาขนมปังติดตัวมาด้วย พวกเขาก็เริ่มกังวล

พระเยซูทรงตำหนิพวกเขา เพราะพวกเขาไม่สังเกต ไม่คอยฟัง ไม่จดจำ
สิ่งที่พระองค์ทรงทำในอดีตที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเขา
ทั้งการเลี้ยงคน 5,000 คน และ 4,000 คน

4.@ วันนี้ ปัญหาที่เราพบอาจกำลังทำร้ายจิตใจของเรา
หากเราไม่สังเกต ไม่คอยฟัง และลืม
สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้แก่เราในอดีตที่ผ่านมาในชีวิตของเรา

เราจำไม่ได้จริงๆหรือว่า พระเจ้าทรงช่วยเรามากี่ครั้งแล้ว?

ทำไมวันนี้เราจึงยังวิตกกังวลอยู่อีกเล่า?

5.# พระเยซูทรงเตือนพวกสาวกให้ ​สังเกต​และ​ระวัง คำสอน(มธ. 16:12)ของ​พวก​ฟาริสี และของพวกเฮโรด​ ที่ไม่เชื่อวางใจในพระเยซู
แต่กลับมาทดลองพระเยซู ขอให้ทำหมายสำคัญ ไม่ใช่เพื่อจะเชื่อแต่เพื่อจะจับผิด

5.@ เมื่อเราเห็นคนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้
แล้วหลีกเลี่ยงการกระทำของพวกเขา
อย่าตามอย่างพวกเขา

วันนี้ เมื่อเห็นคนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แทนที่จะไปโมโหพวกเขาให้เราเสียอารมณ์
สู้เราเรียนรู้ เพื่อจะไม่ทำตามอย่างของเขา จะดีซะกว่า

6.# ที่เมืองเบธ​ไซ​ดา มีคนพาคนตาบอดมา แล้วอ้อนวอนขอให้พระเยซูรักษา
พระองค์ทรงทำแปลกกว่าทุกครั้ง พระองค์ไม่ได้รักษาทันที
แต่ทรง​จูง​มือ​คน​ตา​บอด​ออก​ไป​นอก​หมู่​บ้าน
แล้วทำการรักษาที่นั่น หลังจากนั้นพระองค์สั่งห้าม และกำชับ ไม่ให้เขากลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีก

6.@ ในเรื่องนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจนว่า ทำไมพระเยซูห้ามไม่ให้ชายคนนี้กลับไปในหมู่บ้านอีก

เป็นไปได้ว่า ไม่อยากให้พวกฟาริสีรู้แล้วยิ่งอิจฉาขึ้นไปอีก

แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่า น่าจะเกี่ยวกับ ความเชื่อ

ใน มธ. 11:21 “วิบัติ​แก่​เจ้า เมือง​โค​รา​ซิน วิบัติ​แก่​เจ้า เมือง​เบธ​ไซ​ดา ถ้า​การ​อัศ​จรรย์​ต่างๆ ซึ่ง​ทำ​ท่าม​กลาง​เจ้า​ทั้ง​หลาย ทำ​ใน​เมือง​ไท​ระ​และ​เมือง​ไซ​ดอน คน​ใน​เมือง​ทั้ง​สอง​คง​ได้​นุ่ง​ห่ม​ผ้า​กระ​สอบ​นั่ง​บน​ขี้​เถ้า​กลับใจ​ใหม่​นาน​แล้ว”

พระเยซูกล่าวถึงเมืองเบธไซดาว่า พวกเขาไม่มีความเชื่อ แม้เห็นการอัศจรรย์ก็ยังไม่ยอมกลับใจ

ซึ่งถ้าด้วยเหตุผลนี้ ก็พอเข้าใจได้ว่า
ทำไมพระเยซูต้องจูงชายตาบอดมารักษานอกหมู่บ้าน
และทำไมบอกว่าอย่ากลับเข้าไปในหมู่บ้าน
เพราะคนในหมู่บ้านนั้นไม่มีความเชื่อ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เห็นว่า ความไม่เชื่อมีผลต่อการอัศจรรย์และต่อจิตใจของผู้คน

7.# เมื่อเปโตรและเพื่อนสาวกยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระเยซูกลับห้ามพวกเขา ไม่ให้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้จนกว่าจะถึงเวลา

7.@ การรับใช้พระเจ้า คือการทำตามคำสั่งของพระเจ้า
บางครั้งเราคิดไปเองว่า น่าจะดีที่ทำเช่นนั้น

แต่ก่อนที่จะเริ่มทำสิ่งใด ควรถามพระเจ้า
ด้วยการไตร่ตรองพระคำของพระเจ้าก่อนอยู่เสมอ

8.# เปโตรทักท้วงพระเยซู ไม่ให้กระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา
ทั้งที่เปโตรปรารถนาดีต่อพระองค์
แต่พระเยซูตำหนิเขา ว่า เขาตกเป็นเครื่องมือของซาตาน
เพราะ​เขา​คิด​อย่าง​คน ไม่​ได้​คิด​อย่าง​พระ​เจ้า

8.@ หากเราไม่ได้ใช้พระคำของพระเจ้าในการตัดสินใจต่างๆในชีวิต
ก็ง่ายเหลือเกินที่จิตใจของเราจะมีแนวโน้มคิดอย่างที่คนในโลกนี้เขาคิดกัน
แล้วซาตานก็จะใช้เราเป็นเครื่องมือขัดขวางงานของพระเจ้าได้

9.# พระเยซูสอนว่า คนที่จะติดตามพระองค์ ต้องเลิกทำตามใจปรารถนาของตนเอง
แต่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

9.@ วันนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยที่เราจะทำเช่นนั้น
แล้วเรายังจะทำสิ่งนั้นต่อไปอีกหรือ?

10.# พระเยซูสอนว่า หากไล่จับของอนิจจังในโลกนี้ จะสูญเสียชีวิตนิรันดร์ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าของทั้งโลกนี้รวมกัน

10.@ วันนี้ เราใช้ เวลา สติปัญญาและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา ส่วนใหญ่ ทำอะไร? ทำเพื่อให้ได้รับอะไร?

11.# พระเยซูสอนว่า ใครละอายที่จะยืนอยู่ฝ่ายพระองค์และฝ่ายพระคำของพระองค์ พระเยซูก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาในวันสุดท้าย ที่พระองค์เสด็จมาด้วยสง่าราศีเพื่อจะมอบศักดิ์ศรีแก่คนของพระองค์

11.@ วันนี้ เรากล้าเชื่อฟังกระทำตามพระคำของพระเจ้า หรือ อายที่จะเชื่อฟังกระทำตามพระคำของพระองค์?

วันนี้ เรากล้าบอกให้คนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเยซูรู้ไหมว่า เรารักพระเยซูมากแค่ไหน?

คำคม

“ สิ่งของในโลกที่กำลังจะถูกเผาไหม้ กับ สิ่งของในสวรรค์ที่จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
เราจะลงทุนกับสิ่งใดมากกว่ากัน? ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 7

ภาพรวม

  • ในบทนี้ชี้ให้เห็นถึง คนที่มาหาพระเยซู 3 จำพวก
  • พวกฟาริสีที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ของศาสนาที่บรรพบุรุษของพวกเขาตั้งขึ้นมาเอง แล้วละเลยความเชื่อวางใจในพระเจ้า มาเพื่อจับผิดพระเยซู
  • หญิงต่างชาติผู้ไม่ได้รู้จักกฎเกณฑ์ใดๆและไม่ได้ทำตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยซ้ำ เธอมีความเชื่อวางใจในพระเยซู แล้วเชื่อฟัง เธอจึงได้รับความช่วยเหลือ
  • คนที่พาชายหูหนวกมาให้พระเยซูรักษา แม้พวกเขาจะได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่เชื่อฟังพระองค์อยู่ดี

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พวก​ฟา​ริสี​กับ​พวก​ธรร​มา​จารย์​มาจากเยรูซาเล็มเพื่อจับผิดพระเยซู โดยตำหนิว่าพระเยซูไม่ได้สอนสาวกให้ทำตามธรรมเนียมต่างๆที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งความจริงแล้วธรรมเนียมเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์เลย
พระเยซูจึงใช้โอกาสนี้ สอนพวกเขาว่า การทำตามพระคำของพระเจ้า สำคัญยิ่งกว่าทำตามธรรมเนียมใดๆ

1.@  วันนี้ มีธรรมเนียมอะไรไหม ที่ขัดขวางไม่ให้เราทำตามพระคำของพระเจ้า?

วันนี้ มีกิจกรรมใดๆที่เราทำ ที่ขัดขวางไม่ให้เราเชื่อฟังพระเจ้าบ้าง?
จงละทิ้งกิจกรรมนั้นแล้วหันมาเชื่อฟังพระคำของพระองค์

2.# พระเยซูตำหนิพวก​ฟา​ริสี​กับ​พวก​ธรร​มา​จารย์​ ว่า หน้าซื่อใจคด
เพราะพวกเขา ให้เกียรติพระเจ้าแต่ปาก ในใจของพวกเขาไม่ได้ให้เกียรติพระเจ้าจริงๆ

2.@ เป็นการดีที่เราจะบอกคนอื่นว่าเรารักพระเจ้า เราร้องเพลงว่าเรารักพระเจ้า
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คนที่รักพระเจ้าจริงๆจะเชื่อฟังพระองค์

วันนี้ เราจะเลือกทำตามใจปรารถนาของตนเอง หรือ จะเลือกทำตามพระคำของพระเจ้า?

3.# พระเยซูสอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราภายนอก รวมทั้งสิ่งที่กินเข้าไป ไม่ทำให้ตัวเรา ขาดคุณสมบัติเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

แต่สิ่งที่เรากระทำออกมาซึ่งสะท้อนสิ่งที่อยู่ภายในใจของเราต่างหาก ที่จะทำให้เราไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

3.@ ไม่สำคัญว่า เราถูกกระทำอย่างไร เพราะสิ่งนั้นไม่ทำให้พระเจ้า ไม่พอพระทัยเรา

แต่ สำคัญว่า เรากระทำอย่างไร หรือตอบสนองอย่างไร ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น

เพราะนั่นเป็นตัวชี้ว่า เรามีท่าทีในใจของเราอย่างไรต่อพระเจ้า

4.# พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่า ขนาดหญิงต่างชาติผู้ไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือในสายตาของพวกยิว

เมื่อเธอมีความเชื่อวางใจในพระเยซูอย่างแท้จริง
เธอก็ยังได้รับความช่วยกู้จากพระเจ้า

4.@ คนผู้ไม่สมควร ผู้มาหาพระเยซูอย่างจริงใจ ยังได้รับการช่วยกู้

แล้วเราผู้เป็นลูกของพระเจ้า หากทูลวิงวอนต่อพระองค์ด้วยสุดใจ
มีหรือเราจะไม่ได้รับการช่วยกู้

พระองค์จะรีบเสด็จมาช่วยกู้เราอย่างแน่นอน

5.# มีคนพาชายหูหนวกมาให้พระเยซูรักษา แล้วคนที่พามาก็ขอให้พระเยซูรักษาชายคนนั้น

ครั้งนี้แตกต่างจากหลายกรณีที่ผ่านมา
ชายคนนี้มีคนพามา
ชายคนนี้ไม่ได้ทูลขอให้พระเยซูช่วยเขาด้วยตนเอง
เพราะเขาเองก็พูดได้เพียงแต่ติดอ่างเท่านั้น

ในพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงความเชื่อของชายคนนี้เลย
เพียงแต่กล่าวถึงการไม่เชื่อฟังของคนที่พาเขามา ว่า

แม้คนเหล่านั้นเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำ
แต่ก็ยังไม่เชื่อฟังพระองค์

พระเยซูห้ามปรามว่า อย่าบอกผู้ใดเลย
แต่พวกเขากลับทำตรงกันข้าม พวกเขายิ่งเล่าลือออกไป

ดังนั้นพระคัมภีร์ในตอนนี้ คงไม่ได้เน้นที่จะบอกเกี่ยวกับคนหูหนวก
แต่น่าจะเน้นที่พวกคนที่พาคนหูหนวกมา

5.@ คนที่พาคนหูหนวกมา อยากเห็นการอัศจรรย์ อยากมีเรื่องไปเล่าต่อ
แต่ไม่ได้อยากต้อนรับพระเยซูเป็นเจ้านายในชีวิตของเขา

คนที่มาหาพระเยซูเพียงเพื่อจะได้พบกับการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำเท่านั้น ก็เป็นเช่นนี้แหละ

พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เห็นและมีเรื่องไปเล่าต่อ
แต่พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระองค์

เราเป็นเพียงผู้พบการอัศจรรย์ของพระเยซูในชีวิตของเรา
หรือ
เป็นผู้ให้พระเยซูเป็นเจ้านายของเราจริงๆ

วัดได้ตรงที่ วันนี้เราเชื่อฟังพระคำของพระองค์มากเพียงใด

คำคม

“ การมาหาพระเยซูเป็นสิ่งสำคัญ แต่ท่าทีในใจที่เรามีต่อพระเยซูนั้นสำคัญยิ่งกว่า ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 6

ภาพรวม

  • บทนี้พูดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่มีคนยอมรับและปฏิเสธ อยากพบและไม่อยากพบ พระเยซูด้วยเหตุผลต่างๆ สิ่งที่สำคัญมากที่เน้นในบทนี้คือ ความเชื่อในพระเยซู

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  ชาวนาซาเร็ธไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ดังนั้นพวกเขาไม่เพียงไม่เชื่อในคำสอนของพระเยซู
แต่พวกเขายังโกรธพระ​องค์อีกด้วย

1.@  สำหรับคนที่ไม่เชื่อ คำสอนอันล้ำค่าของพระเยซู ก็กลับกลายเป็นขยะไร้ค่าสำหรับเขา

วันนี้ หากเราอ่านหรือฟังพระคำ ด้วยความไม่เชื่อ พระคำนั้นจะไร้ค่าสำหรับเรา

2.# พระเยซู​ทรง​ทำ​การ​อัศ​จรรย์​ที่นาซาเร็ธเพียงเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่เชื่อ

2.@ การอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ขึ้นกับขนาดความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระเยซู

วันนี้เรากล้าเชื่อวางใจในพระเยซูอย่างสุดหัวใจในเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญหรือไม่?

3.# พระเยซูส่งสาวก 12 คนออกไปประกาศเป็นคู่ๆ ประทานสิทธิอำนาจให้แก่พวกเขา และให้พวกเขาไม่ต้องเตรียมสัมภาระหรือเสบียงไปด้วยเพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระเจ้า

3.@ วันนี้ พระเจ้าทรงใช้เรานำคนมาหาพระเจ้า พระองค์ประทานสิทธิอำนาจแก่เราแล้ว
เราสามารถใช้สิทธิอำนาจนั้นอย่างเต็มที่ด้วยความเชื่อ

ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเชื่อวางใจในพระองค์มากยิ่งขึ้น
เพื่อพัฒนาความเชื่อวางใจของเราที่มีต่อพระองค์ด้วย

4.# ตลอดชีวิตของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา เขาอยู่เพื่อทำให้แผนการของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์สำเร็จ แม้แต่การตายของเขา ก็ยังทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ

เพราะเฮโรดสั่งตัดศีรษะของยอห์น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเพราะเขา​เกรง​กลัว​ยอห์น เนื่อง​จาก​ทรง​ทราบ​ว่า​ท่าน​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม และ​บริ​สุทธิ์ (มก. 6:20)

ดังนั้นเมื่อมีคนบอกว่าพระเยซูอาจจะเป็นยอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาจึงอยากพบพระเยซูมาก
แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบจนกระทั่งหลังจากที่พระเยซูถูกจับ และถูกปีลาตส่งมาพบเขา(ลก. 23:6-12)

และดูเหมือนเมื่อเขาไม่ได้คำตอบอะไรจากพระเยซู ก็ไม่อยากกักตัวพระองค์ไว้ แต่รีบส่งกลับไปหาปีลาต

เป็นไปได้ว่า คงเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว รีบส่งกลับไปดีกว่า

หากเฮโรดไม่รีบส่งกลับ แต่กักตัวพระเยซูไว้อีกสักวัน สองวัน จะผิดแผนการทั้งหมดเลยทีเดียว

4.@ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าทรงสามารถใช้ให้ชีวิตของเราเป็นพระพรได้เสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเหมือนไม่ดีสักเพียงใดก็ตาม
ขอเพียงแต่เราตั้งใจที่จะใช้ชีวิตเพื่อพระองค์ เราก็จะพบวิธีของพระองค์

5.# พระเยซูทรงรักษาคนป่วยมากมายจนไม่มีเวลาทานข้าว จึงพาสาวกปลีกตัวออกมาหาที่สงบพักสักหน่อย

ปรากฏว่าประชาชนก็ตามมาอีก พระองค์ไม่ไล่พวกเขาไป
แต่กลับสั่งสอนและรักษาโรคของพวกเขา
แล้วยังทำการอัศจรรย์เลี้ยงเขาจนอิ่มอีกด้วย

5.@ ผู้ที่มาหาพระเยซูพระองค์จะไม่ปฏิเสธเลย และพระองค์จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด

เชิญมาหาพระองค์เถิด พระองค์จะไม่ปฏิเสธเราแน่นอนไม่ว่าเราจะแย่หรืออ่อนแอสักเพียงใดก็ตาม

6.# ขณะที่สาวกกำลังประสบปัญหาพายุกลางทะเล พระเยซูก็เสด็จมาหาพวกเขา พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำ​ใจ​ดีๆ เถิด นี่​เรา​เอง อย่า​กลัว​เลย”

เมื่อพวกเขารู้ว่าเป็นพระเยซูและต้อนรับพระองค์ขึ้นเรือ
ปัญหาของพวกเขาทั้งหมดก็หมดไป

6.@ วันนี้ หากเรากำลังประสบปัญหาในชีวิต พระเยซูทรงอยู่เคียงข้างเรา

เพียงแค่เราจะตระหนักความจริงนี้ว่าพระเยซูทรงอยู่ใกล้เรา
และเชิญพระองค์ให้เป็นผู้จัดการกับปัญหาของเรานี้

ปัญหาทั้งหมดจะถูกคลี่คลายแล้วกลายเป็นพระพร

7.# ที่นาซาเร็ธ แทบไม่มีการอัศจรรย์อะไรเลย ที่พระเยซูทรงกระทำ

ที่เยนเนซาเร็ธ ซึ่งห่างจากนาซาเร็ธแค่ 30 ก.ม. พบการอัศจรรย์มากมาย

ความแตกต่างอย่างชัดเจน คือ

ที่เยนเนซาเร็ธ ผู้คนที่มาหาพระเยซูเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาเขาให้หายได้ หลายคนเชื่อว่าแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ก็จะหายโรคได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง

แต่ที่นาซาเร็ธพวกเขาไม่เชื่อ

7.@ วันนี้เราเชื่อจริงๆไหมว่า พระเยซูช่วยเราได้?

คำคม

“ สำหรับบางคนการได้พบพระเยซูอาจจะไม่ใช่จุดเปลี่ยนของชีวิตของเขา
แต่สำหรับผู้ที่เชื่อทุกคน การได้พบพระเยซูนั่นคือ

จุดเปลี่ยนของชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 5

ภาพรวม

  • ในบทนี้มีอย่างน้อย 3 คนที่รับการรักษาให้หาย คือชายที่ถูกผีทั้งกองเข้าสิง , หญิงโลหิตตก 12 ปี และลูกสาวของไยรัส ซึ่งดูเหมือนทั้ง 3 คน มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า และเมื่อพระเยซูพบพวกเขา ปัญหาทั้งหมดของเขาก็ถูกคลี่คลาย

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูเดินทางฝ่าพายุมาเพื่อจะมาพบกับคนไร้ค่า ผู้ที่คนทั้งเมืองไม่มีใครต้องการ ผู้มีค่าน้อยกว่าหมู เพราะเขามีค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า

1.@  วันนี้ ไม่ว่าเราจะด้อยค่าสักเพียงใดในสายตาของคนอื่นหรือแม้แต่ในสายตาของตนเอง

เรามีค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า มีค่ามากพอที่พระเยซูจะยอมทนทุกข์ทรมานทุกอย่างเพื่อจะช่วยเรา

มาหาพระองค์ผู้ทรงรักเราในวันนี้ แล้วรับการช่วยเหลือจากพระองค์เถิด

2.# โดยทั่วไปแล้วหมูเป็นสัตว์มีมลทิน จึงจะไม่มีการเลี้ยงหมูในเขตแดนของอิสราเอล
เจ้าของหมูที่เกราซานี้จึงน่าจะเป็นคนต่างชาติหรือเป็นคนยิวที่จงใจ ทำผิดธรรมบัญญัติ

เมื่อหมู 2,000 ตัวจมน้ำตาย แทนที่ประชาชนที่นั่นจะกลับใจใหม่
พบความไม่ถูกต้องของตนเองที่ยินยอมให้คนทำผิดธรรมบัญญัติในดินแดนของตน
แล้วให้คนเลี้ยงหมูออกจากดินแดนของเขาเสีย

แต่พวกเขากลับ ขอเชิญพระเยซูไปจากดินแดนของพวกเขา…เป็นงั้นไป

2.@  เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นกับเรา หรือผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา สิ่งแรกๆที่เราควรทำ
คือ พิจารณาตนเองดูว่า มีสิ่งใดที่เราควรกลับใจหรือไม่
แทนที่จะเริ่มควานหาว่า ใครเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้

3.# ความแตกต่างของชายที่ถูกผีสิง ก่อนและหลังพบพระเยซู คือ
ก่อนพบพระเยซู เขาอาละวาด โวยวาย ทำร้ายตนเอง และทำร้ายผู้อื่น
หลังพบพระเยซู เขานั่งสงบ อารมณ์ดี

3.@  วันนี้ คุณพบพระเยซูแล้วหรือยัง?

4.# เมื่อคนที่ถูกผีทั้งกองเข้าสิง หายเป็นปกติแล้ว เขาปรารถนาจะติดตามพระเยซูไป

พระเยซูกลับบอกว่า ไม่ต้องติดตามมา แต่ให้ไปบอก​พวก​พ้อง ​ถึง​สิ่งซึ่งพระเจ้าได้ทรงเมตตาเขาและกระทำแก่เขา

แล้วเขาก็เชื่อฟัง ประกาศไปทั่วแคว้นทศบุรี ซึ่งมีเมืองอยู่ถึง 10เมือง(ต่อมาเพิ่มเป็น 18เมือง)

ซึ่งเป็นการเตรียมคนเหล่านั้นให้พร้อม
หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
เมื่อข่าวประเสริฐเรื่องความรอดมาถึงคนเหล่านั้น
พวกเขาก็พร้อมแล้วสำหรับข่าวประเสริฐนั้น

4.@ ชายคนนี้ แม้ไม่ได้มีโอกาสติดตามพระเยซูไปกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาก็ได้ชื่อว่า เป็นสาวกของพระเยซู เพราะเขาทำตามคำสั่งของพระเยซู

มีสาวกที่ละทิ้งพระองค์ในสวนเก็ทเสมนี 12 คนกำลังดี ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเขาอีกคน

แต่มีภารกิจที่สำคัญกว่านั้นสำหรับเขา คือการเตรียมชาวทศบุรีให้พร้อมสำหรับข่าวประเสริฐเรื่องความรอดทางพระเยซูคริสต์

การรับใช้พระเจ้า ไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่ใครๆเขาก็ทำกัน แต่จำเป็นต้องทำอย่างที่พระเยซูสั่งให้ทำ

เมื่อเราเชื่อฟัง ทำตามพระคำของพระเจ้า พระเจ้าเองจะเป็นผู้ทำให้สิ่งที่เราทำนั้นเกิดผลเป็นพระพรมากมาย

5.# ไยรัส เชื่อว่า ถ้าพระเยซูวางมือบนลูกสาวของเขา เธอจะรอดตาย

หญิงโลหิตตก เชื่อว่า ถ้าเธอได้แตะชายเสื้อพระเยซูเธอจะหาย

แล้ว การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจริง ตามขนาดความเชื่อที่พวกเขามีต่อพระเยซู

5.@ วันนี้ ถ้าเราเชื่อจริงๆ ว่า
เพียงเราร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซู
สถานการณ์ในชีวิตของเราจะคลี่คลายไปในทางที่ดีแน่นอน
เราจึงเริ่มทูลขอด้วยความเชื่อเช่นนั้น เราจะได้รับตามที่เชื่อนั้นอย่างแน่นอน

6.# หญิงโลหิตตกนั้น แตะชายเสื้อพระเยซูแล้วโลหิตของเธอก็หยุดไหล พระ​เยซู​ตรัส​ถามว่า “ใคร​แตะ​ต้อง​เสื้อ​ของ​เรา?”

เปโตร(ลก. 8:45)และพวก​สา​วก จึงทูล​ว่า ​
ฝูง​ชน​กำ​ลัง​เบียด​เสียด​พระ​องค์ แล้วทำไมยังมาถามอีกว่า “ใคร​แตะ​ต้อง​พระองค์?”

คำถามของพวกสาวกนี้ ชี้ให้เห็นว่าการอัศจรรย์เช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ในบทต่อมา มก. 6:56 บอกว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ เริ่มมีคนทำแบบหญิงคนนี้และก็รับการรักษาเช่นเดียวกับเธอ

มก. 6:56
“ ไม่​ว่า​พระ​องค์​จะ​เสด็จ​ไป​ที่​ไหน ใน​หมู่​บ้าน ใน​เมือง หรือ​ใน​ชน​บท ผู้​คน​ก็​เอา​คน​เจ็บ​ป่วย​มา​วาง​กลาง​ตลาด และ​ทูล​ขอ​อนุ​ญาต​จาก​พระ​องค์​ที่​จะ​ได้​แตะ​ต้อง​แม้​เพียง​ชาย​ฉลอง​พระ​องค์ และ​ทุก​คน​ที่​แตะ​ต้อง​ก็​หาย​ป่วย”

6.@ ความเชื่อของหญิงคนนี้ จุดประกายความเชื่อของผู้คนอีกมากมายให้เพิ่มขึ้น จนพวกเขาเชื่อว่า แค่แตะชายเสื้อพระเยซู พวกขาก็จะหายโรค แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆตามที่พวกเขาเชื่อ

ความเชื่อของคนหนึ่งสามารถจุดประกายความเชื่อของอีกคนให้ลุกโพลงขึ้นมาได้

– การเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรแก่เราบ้าง เป็นการขยายความเชื่อที่เรามี ไปเป็นพระพรแก่ผู้อื่น เพิ่มเติมความเชื่อให้แก่พวกเขา

– การฟังหรืออ่านคำพยานของคนอื่น เป็นทางลัดที่จะเพิ่มเติมความเชื่อในชีวิตของเราให้มากยิ่งขึ้น

– การพูดคุย สนทนา หรืออยู่ใกล้ คนฝ่ายวิญญาณที่มีความเชื่อ จะพัฒนาความเชื่อในชีวิตของเรา

– ในทางตรงกันข้าม การพูดคุย สนทนา หรือใช้เวลามากๆ กับคนที่ขาดความเชื่อ คนมองโลกในแง่ร้าย จึงดึงพลังไปจากชีวิตของเราได้
(ถ้าความเชื่อของเรามากพอ ก็จะช่วยพวกเขาได้เช่นกัน)

7.# เมื่อไยรัสต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของเขา คือรับข่าวว่า ลูกสาวตายแล้ว

เขาเผชิญเหตุการณ์นั้นแบบมีพระเยซูอยู่ด้วย และพระองค์ทรงหนุนใจเขาด้วยวลีที่ทรงพลังและเป็นความจริงอย่างยิ่ง

“อย่า​วิตก​เลย จง​เชื่อ​เท่า​นั้น”

7.@ วันนี้ ไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้า จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
จงระลึกคำตรัสของพระเยซู ที่กำลังตรัสกับเราว่า
“อย่า​วิตก​เลย จง​เชื่อ​เท่า​นั้น”

8.# เมื่อไยรัส หมดหวังแล้ว สิ้นหวังแล้ว ลูกสาวของเขาตายเสียแล้ว
แต่เพราะเขามาพึ่งพาพระเยซู ความสิ้นหวังนั้น
ในที่สุดก็ถูกเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง

8.@ วันนี้ ในพระเยซู เรายังมีหวัง และ เราจะสมหวัง เมื่อเราไว้วางใจในพระองค์

คำคม

“ ความเชื่อเป็นตัวกำหนดผลของชีวิต
เหตุใดเรากลับเอาใจใส่กับการพัฒนาความเชื่อ น้อยเหลือเกิน? ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 4

ภาพรวม

  • ในบทนี้พระเยซูสอนพวกสาวกเป็นคำอุปมาเพื่อให้พวกเขามีความเชื่อ แล้วให้ความเชื่อนั้นสำแดงออกเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับความเชื่อนั้น ปรากฏว่า พอพวกเขาเจอพายุกลางทะเลเข้าจริงๆ ที่เคยเชื่อมานั้นหายหมดเลย

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูตรัสคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช เพื่อชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าแล้ว จะเกิดผลเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา

– บางคนได้ยิน แล้วก็ไม่สนใจ เหมือนมีนกมาจิกเอาไปเสีย

– บางคนได้ยิน แล้วก็รับไว้ แต่ไม่เอาจริง ทำตามสักหน่อยหนึ่ง พอเห็นว่ายากไป ก็เลิก เหมือนพืชในดินที่หินเยอะ

– บางคนได้ยิน แล้วรับไว้ ก็อยากเอาจริงอยู่ แต่ มีเรื่องมากมายที่ต้องสนใจมากกว่า แม้ไม่เลิกแต่ก็ไม่ได้ลงมือทำตามจริงจัง เหมือนพืชในพงหนาม

– บางคนได้ยิน รับไว้ แลัวกระทำตามพระคำของพระเจ้าจึงเกิดผลมากมาย ตามขนาดของการกระทำตามนั้น เหมือนพืชในดินดี

1.@  การรู้ และการเชื่อพระคำของพระเจ้า เป็นสิ่งที่ดี
แต่จะไร้ประโยชน์หากเราไม่นำพระคำนั้นมาใช้จริงๆในชีวิตประจำวันของเรา

วันนี้ เราทำสิ่งตรงข้ามกับพระคำของพระเจ้า ไปกี่อย่างแล้ว?

2.# พระเยซูตรัสเป็นคำอุปมาเพราะ ข้อ​ความ​ลับ​ลึก​แห่ง​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า​โปรด​ให้​บางคน​รู้​ได้ แต่​บางคนไม่ให้รู้

คนที่ให้รู้ได้ คือ พวกสาวก ผู้ได้ยินแล้วเชื่อ ด้วยความเชื่อพวกเขาจึงปรารถนาจะเข้าใจ จึงมาถามพระเยซู พระองค์จึงอธิบายให้ฟัง

คนที่ไม่ให้รู้ คือ คนทั้งหลาย ผู้ได้ยินแต่ไม่เชื่อ จึงไม่สนใจ จึงไม่เข้าใจต่อไป

2.@ วันนี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยความล้ำลึกแห่งสวรรค์ไว้ในพระคำของพระเจ้าแล้ว เราจะตอบสนองอย่างไร?

ตอบสนองด้วยความเชื่อ จนสนใจ แล้วทูลขอพระองค์ประทานความเข้าใจให้มากขึ้น
หรือ
ตอบสนองด้วยความไม่เชื่อ จึงไม่สนใจ ไม่อ่าน ไม่ฟัง ไม่ใส่ใจ

3.# พระเยซูสอนว่า ถ้าเป็นตะเกียงที่มีแสงสว่างจริง จะส่องสว่างจนคนเห็นได้ และเป็นพระพรต่อผู้คน

แต่คนที่เป็นตะเกียงที่เอาไปแอบๆไว้ เพราะตนเองไม่มีแสงสว่าง แต่เที่ยวโฆษณาว่า
ตนเป็นตะเกียงที่มีแสง
สักวันคนก็จะรู้ความจริงว่า เขาเป็นตะเกียงไร้แสง

3.@ วันนี้ เราเป็นตะเกียงที่มีแสงหรือไม่ คนรอบข้างจะเป็นคนบอกได้ดีที่สุด

เราอาจมีเหตุผลมากมายที่จะบอกว่า
ตอนนี้เขาไม่เห็นแสงของเราเพราะอะไรบางอย่าง
เป็นเหมือนกับตะเกียงที่เอาไปซ่อนไว้แต่บอกว่า “ฉันเป็นตะเกียงมีแสงนะ”

หากชีวิตของเราเป็นแสงสว่างจริง
คนรอบข้างจะเห็นได้อย่างแน่นอน
และพวกเขาจะได้รับพระพรผ่านชีวิตของเรา

4.# พระเยซูสอนว่า เมื่อเรากระทำแก่ผู้อื่นอย่างไร เราจะได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมามากกว่าที่เราทำไปเสียอีก

คนที่มีน้ำใจ มีแล้วแบ่งปันให้กับคนอื่น ก็จะยิ่งมีมากยิ่งขึ้น

คนที่ไม่มีน้ำใจ ไปเอาของคนอื่นมา ที่เขามีอยู่นั้นจะถูกเอาไปเสีย เหมือนอย่างที่ทำกับคนอื่นไว้ แต่จะหนักยิ่งกว่า

4.@ เมื่อคิดจะทำสิ่งที่ดี จงทำอย่างเต็มกำลัง
เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้ตอบแทนเราอย่างเต็มที่

เมื่อคิดจะทำชั่ว จงหยุดยั้งตัวเองอย่างสุดกำลัง
เพราะพระเจ้าจะทรงลงโทษเราอย่างเต็มขนาด และหนักยิ่งกว่าเราได้กระทำเสียอีก

5.# พระเยซูสอนว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะค่อยๆเติบโตขึ้น แบบไม่รู้ตัว เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว

5.@ เรื่องฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นและพัฒนาขึ้นในชีวิตของเรา แบบไม่รู้ตัว
แต่พอเวลาผ่านไปนานพอสมควร เราจะเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นได้อย่างชัดเจน

วันนี้ พระเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา แม้เรายังไม่เห็น หรือยังไม่เป็นที่พอใจของเรานัก
ให้เรายังคงสัตย์ซื่อเดินติดตามพระเจ้าต่อไป ในเวลาก่อนที่เราจะทันรู้ตัว
เราเองจะพบว่า เราได้รับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแล้วทีเดียว

6.# พระเยซูสอนว่า แผ่นดินของพระเจ้าตอนเริ่มต้นอาจดูเล็กน้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร จะพบว่าเป็นสิ่งใหญ่โตและเป็นพระพรต่อผู้คนมากมาย

6.@ วันนี้ เราอาจเป็นเพียงผู้เล็กน้อย ไม่สำคัญในสายตาของใครต่อใคร
แต่หากเราสัตย์ซื่อเดินติดตามพระเจ้าต่อไป
ในเวลาไม่ช้านาน เราจะกลายเป็นพระพรยิ่งใหญ่ต่อคนที่อยู่รอบข้างเรา

7.# พระเยซูทรงสอนพวกสาวกเป็นคำอุปมาในตอนต้นของบทนี้
ให้พวกเขาฟังแล้วเชื่อจริงๆ โดยนำไปปฏิบัติจริงจัง 

พอมาถึงตอนท้ายของบทนี้ ปรากฏว่า พวกเขาลืมไปหมดในทันที
เมื่อเรือเจอพายุโหมกระหน่ำเข้ามาในเรือ 

7.@ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเราได้ยินพระคำมากแค่ไหน ก็คือ
เรานำพระคำนั้นไปใช้ในชีวิตของเราจริงๆมากแค่ไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา

8.# พระเยซูถามพวกเขาว่า “ทำ​ไม​พวก​เจ้า​กลัว? พวก​เจ้า​ไม่​มี​ความ​เชื่อ​หรือ?”  เมื่อกลัว แสดงว่า เรากำลังไม่มีความเชื่อ

8.@ วันนี้ หากเรากำลังกลัว ให้ทูลขอความเชื่อจากพระองค์
แล้วก็เริ่มใช้ความเชื่อนั้นด้วยความเชื่อเท่าที่มี

เราจะพบว่าความกลัวมันจะเริ่มวิ่งหนีออกไปจากชีวิตของเรา
และคำตอบที่มาจากพระเจ้าก็จะมาถึงเราในเวลาอันรวดเร็ว

คำคม

“ การรู้พระคำนั้นไร้ประโยชน์ หากไม่นำไปลงมือทำ ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 3

ภาพรวม

  • ในบทนี้บรรยายถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูที่สามารถช่วยเหลือผู้คนมากมาย และทรงประทานสิทธิอำนาจนั้นให้แก่เหล่าสาวกของพระองค์ด้วย

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  ในวันสะบาโต พระเยซูพบชายมือลีบข้างหนึ่ง ในธรรมศาลา
สำหรับพวกฟาริสีคิดว่า ชายคนนี้ยังไม่สมควรรับการรักษาในวันนั้นเพราะเป็นวันสะบาโต มือลีบแค่ข้างเดียวก็ใช้อีกข้างไปก่อนก็ได้

แต่สำหรับพระเยซู คิดแตกต่างจากพวกเขา พระเยซูรอช้าไม่ได้ที่จะช่วยชายมือลีบที่พระองค์ทรงรักคนนี้ให้หาย ในวันนั้น

1.@  พระเจ้าจะไม่ทรงรอช้าที่จะทรงช่วยเรา เมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ด้วยจริงใจ

วันนี้ หากคำตอบดูเหมือนมาช้าเหลือเกินในสายตาของเรา ให้เราไว้ใจพระองค์
การช่วยกู้จากพระเจ้าจะมาเร็วที่สุด ของเวลาที่ดีที่สุด

ที่คำตอบยังไม่มา เพราะเพื่อสิ่งดีที่สุดสำหรับเรา ยังจำเป็นต้องรอบางอย่างซึ่งเกินความเข้าใจของเรา

2.# พระเยซูโกรธ​และ​เสีย​ใจ เมื่อเห็นว่า ​จิต​ใจ​ของ​ผู้คนแข็งกระ​ด้าง  ไม่ยอมเชื่อ

2.@ เราสามารถทำให้พระองค์ผู้ทรงรักเราอย่างที่สุด โกรธและเสียใจได้
ด้วยการทำใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมเชื่อพระคำของพระองค์

ถึงแม้เราจะทำให้พระองค์โกรธหรือเสียใจ พระองค์ก็ยังคงรักเราอย่างที่สุด

ดังนั้นสมควรหรือที่เราจะทำต่อไป ด้วยการไม่ยอมเชื่อพระคำของพระองค์

3.# เมื่อพระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ผู้คนมากมายจากทุกทิศมาหาพระองค์
แต่พวกฟาริสีกลับอยากจะฆ่าพระองค์
เพราะการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น

หมายเหตุ : อิดูเมอา เป็น​แคว้น​ที่​อยู่​ทาง​ใต้​ของ​แคว้น​ยูเดีย

3.@ เมื่อพระเจ้าทรงกระทำมหกิจของพระองค์
จะมีบางคนอยากเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น
และจะมีบางคนอยากออกห่างจากพระองค์มากยิ่งขึ้น

เมื่อเทียบวันนี้ กับ วันแรกๆที่เราเพิ่งรู้จักกับพระเยซู
วันนี้เราเห็นการอัศจรรย์มากมายที่พระเยซูทรงกระทำผ่านชีวิตของเราและชีวิตของคนอื่น

แล้วทำไมวันนี้ เราจึงไม่อยากใกล้พระเยซูมากขึ้น
แต่กลับยิ่งถอยห่างไปจากพระองค์

หากเป็นเช่นนั้น เราสำแดงออกคล้ายๆกับพวกฟาริสีในบทนี้
ดังนั้นวันนี้ สิ่งที่เราสมควรทำอย่างเร่งด่วนที่สุดคือ
กลับใจใหม่ แล้วรีบกลับมาใกล้ชิดกับพระองค์ให้มากกว่าเดิม

4.# พระเยซูทรงเลือกสาวก 12 คน แล้วทรงใช้พวกเขาให้ออกไปประกาศ และ​ทรง​ให้​มี​สิทธิ​อำ​นาจ​ขับ​ผี​ออก​ได้ ทำการอัศจรรย์ต่างๆได้

4.@ พระเยซูทรงเรียกเรามาเป็นสาวกของพระองค์เช่นกัน วันนี้พระองค์ประสงค์ให้เราออกไปประกาศนำคนให้มารู้จักกับพระองค์

ขณะเดียวกันเมื่อเราออกทำการรับใช้พระองค์นี้
พระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้แก่เราด้วย
เราสามารถใช้สิทธิอำนาจนั้น เป็นอุปกรณ์นำคนมาหาพระเยซูคริสต์ได้

คลิปแนะนำ เกี่ยวกับการประกาศ ง่ายกว่าที่คิด
https://www.youtube.com/watch?v=1Ikw7dzB_Jc

5.# พวกธรรมาจารย์บอกใครต่อใครว่า พระเยซูถูกเบเอลเซบูล(อีกชื่อหนึ่งของมาร)เข้าสิง

พระเยซูจึงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า เป็นไปไม่ได้
เพราะซาตานจะขับซาตานออกได้อย่างไร?

แล้วพระเยซูจึงสอนพวกเขาต่อว่า
ใคร​กล่าว​คำ​หมิ่น​ประ​มาท​ต่อ​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์ จะ​ทรง​อภัย​ให้​คน​นั้น​ไม่​ได้​ตลอด​ไป

เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทำให้มนุษย์กลับใจ
ดังนั้นถ้าใครใส่ร้ายว่าสิ่งที่พระวิญญาณกำลังทำงานในเขาเป็นมาจากซาตาน
แล้วพระวิญญาณจะทำงานในใจของเขาได้อย่างไร
ในเมื่อเขาปฏิเสธพระองค์

5.@ การที่จะต่อต้านการโจมตีของมารซาตานที่พยายามจะทำร้ายเรานั้น
ต้องต่อต้านด้วยอำนาจที่เหนือกว่ามัน
และพระเยซูทรงประทานอำนาจนั้นแก่ผู้เชื่อวางใจในพระองค์

หากวันนี้ เราวางใจในพระเยซูว่า ทรงช่วยเราพ้นกับดักของมารได้
เราก็จะพบว่าสิทธิอำนาจที่พระองค์ประทานแก่เรานั้น ต่อต้านมารซาตานได้จริงๆ

เมื่อพระวิญญาณทำงานในใจของเรา
เตือนเรา เรียกให้เรากลับใจใหม่
อย่าแข็งกระด้างต่อการเตือนสอนของพระองค์
มิฉะนั้นเราจะไม่มีวันกลับใจ จึงไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ในเรื่องนั้นๆ

6.# เมื่อแม่และน้องๆของพระเยซู มาหาพระเยซู พระองค์จึงถือโอกาสนั้น สอนคนทั้งหลายว่า
คน​ใด​ที่​ทำ​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​เจ้า คน​นั้นจะก็เป็นคนในครอบครัวของพระองค์ 

6.@ การเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้านั้น ไม่ได้วัดกันที่คำพูด หรือการกระทำกิจกรรมทางศาสนา

แต่วัดที่คนนั้นกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาหรือไม่

พระเยซูทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการทำตามน้ำพระทัยพระบิดา

วันนี้ เราให้ความสำคัญในการทำตามน้ำพระทัยพระบิดามากเพียงใด?

ในการตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร เราคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระบิดามากเพียงใด?

คำคม

“คนที่จงใจทำตามใจของตนเอง เหมือนประกาศว่า เขาไม่ต้องการเป็นบุตรของพระบิดา ”

ขุมทรัพย์ มาระโก 2

ภาพรวม

  • ในบทนี้บรรยายถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ที่มีมุมมองแตกต่างจากความเข้าใจเดิมของพวกนักศาสนาของยิว ทั้งการอภัยบาป การให้โอกาสคนบาปคนชั่ว การอดอาหาร และธรรมเนียมในวันสะบาโต

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  คนง่อยที่ถูกหย่อนจากหลังคามาให้พระเยซูรักษา พระองค์พูดกับเขาว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”

อะไรเป็นเหตุให้บาปของเขารับการอภัย?

ก็คือ ความเชื่อของเขา เขาเชื่อวางใจในพระเยซูว่าทรงช่วยเขาได้แน่ๆ

เขามาเพื่อให้พระเยซูรักษาความเจ็บป่วยทางร่างกายของเขา
แต่พระองค์ทำมากยิ่งกว่านั้นอีก

พระองค์ทรงเยียวยารักษาความเจ็บป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเขา

1.@ เมื่อเรามาหาพระเยซูด้วยความเชื่อวางใจอย่างสุดใจ
เราจะพบการช่วยกู้จากพระองค์ อย่างดีเลิศมากยิ่งกว่าที่เราคาดหมายไว้เสียอีก

วันนี้ จงนำปัญหาของเรา มาหาพระเยซู ด้วยความเชื่ออย่างสุดใจว่า
พระเยซูช่วยฉันได้แน่ๆ

คลิปคำเทศนา พระเยซู ช่วยด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=pGFRpmpPT8c

2.# พระเยซูถามพวกธรรมาจารย์ผู้คิดว่า พระเย