ขุมทรัพย์ มาระโก 8

ภาพรวม

  • พวกฟาริสีมาหาพระเยซูเพื่อขอให้สำแดงหมายสำคัญ พระเยซูไม่ได้สำแดงหมายสำคัญอะไรแก่พวกเขา ประชาชนมากกว่า 4,000 คนมาหาพระเยซู เพื่อให้พระองค์ทรงสอนและช่วยพวกเขา พระเยซูทรงสอน รักษาโรคพวกเขาและสำแดงการอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาพวกเขา
  • ได้ของสิ้นทั้งโลก ได้เห็นหมายสำคัญยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้พบกับพระเยซูจริงๆ จะมีประโยชน์อะไร แต่ใครพบพระเยซูจริงๆก็จะได้ทุกสิ่งทั้งในยุคนี้และยุคหน้า

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  คนมากกว่า 4,000 คน ผู้มาหาพระเยซู พวกเขาไม่รู้จักเตรียมการให้ดี ไม่เตรียมอาหารมาด้วย
บัดนี้พวกเขาไม่มีอะไรกิน หิวมาก เป็นความผิดของพวกเขาเอง เป็นความบกพร่องของพวกเขาเอง
พระเยซูไม่ได้ทรงตำหนิพวกเขา แต่พระองค์ทรงสงสารพวกเขา
และทรงการอัศจรรย์เพื่อช่วยเหลือพวกเขา

1.@  วันนี้ ปัญหาที่เรากำลังเผชิญ อาจเกิดจากความอ่อนแอ ความบกพร่อง ความไม่เอาไหนของเราเอง

เมื่อเรานำปัญหานั้นมาหาพระเยซู พระองค์จะไม่ทรงตำหนิเรา

แต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา จะสงสารเรา
และจะทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากปัญหาเหล่านั้น

2.# พระเยซูมอบหมายภารกิจที่เกินกำลังให้แก่พวกสาวก
เป็นภารกิจที่เป็นไม่ได้สำหรับพวกเขา ที่จะเลี้ยงอาหารคนมากกว่า 4,000 คน ที่หิวโซ ในพื้นที่กันดารเช่นนั้น

แล้วสาวกก็นำสิ่งเท่าที่พวกเขาหาได้มาให้พระเยซู ขนมปัง 7 ก้อน กับปลาตัวเล็กๆ

แล้วพระเยซูก็ช่วยให้พวกเขาทำภารกิจที่มอบหมายนั้นให้สำเร็จได้อย่างสง่างาม

2.@  วันนี้ สิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ อาจดูเหมือนเกินกำลัง หรือเป็นไม่ได้สำหรับเรา

ให้เรารีบนำสิ่งที่เรามีอยู่นั้น กำลัง เวลา ความสามารถ หรืออื่นๆ เท่าที่เรามี มาถวายแด่พระองค์อย่างจริงใจ

แล้วพระองค์เองจะทรงใช้สิ่งเหล่านั้นทำให้สิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำนั้นสำเร็จ

3.# พวก​ฟาริสี​ทำให้พระเยซูต้องถอนหายใจ
เพราะพวกเขามาหาพระเยซูด้วยความไม่เชื่อ
แล้วมาขอ​ให้พระ​องค์​สำแดง​หมาย​สำคัญ​จาก​ฟ้า​สวรรค์ ให้พวกเขาดู
พระองค์จึงไม่สำแดงอะไรแก่พวกเขา

3.@ คนที่มาหาพระเยซูด้วยความไม่เชื่อ แต่อยากลองดูว่าพระเยซูเก่งจริงหรือเปล่า
คนเหล่านั้นจะไม่ได้พบกับพระองค์จริงๆ

แต่ผู้ที่มาหาพระเยซูด้วยความเชื่อ ด้วยความปรารถนาจากใจจริง
อยากให้พระเยซูทรงช่วยเขา

คนเหล่านั้นจะพบกับพระเยซู
และมีประสบการณ์ว่า ใช่แล้วพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา
สามารถช่วยเขาได้ ทั้งในยุคนี้และยุคหน้า

วันนี้ เรามาหาพระเยซูด้วยท่าทีเช่นใด?

เราปรารถนาจริงๆที่จะให้พระองค์ทรงช่วย และเชื่อจริงๆว่าพระองค์ช่วยเราได้ แล้วหรือยัง?

4.# เมื่อพวกสาวกลืมเอาขนมปังติดตัวมาด้วย พวกเขาก็เริ่มกังวล

พระเยซูทรงตำหนิพวกเขา เพราะพวกเขาไม่สังเกต ไม่คอยฟัง ไม่จดจำ
สิ่งที่พระองค์ทรงทำในอดีตที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเขา
ทั้งการเลี้ยงคน 5,000 คน และ 4,000 คน

4.@ วันนี้ ปัญหาที่เราพบอาจกำลังทำร้ายจิตใจของเรา
หากเราไม่สังเกต ไม่คอยฟัง และลืม
สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้แก่เราในอดีตที่ผ่านมาในชีวิตของเรา

เราจำไม่ได้จริงๆหรือว่า พระเจ้าทรงช่วยเรามากี่ครั้งแล้ว?

ทำไมวันนี้เราจึงยังวิตกกังวลอยู่อีกเล่า?

5.# พระเยซูทรงเตือนพวกสาวกให้ ​สังเกต​และ​ระวัง คำสอน(มธ. 16:12)ของ​พวก​ฟาริสี และของพวกเฮโรด​ ที่ไม่เชื่อวางใจในพระเยซู
แต่กลับมาทดลองพระเยซู ขอให้ทำหมายสำคัญ ไม่ใช่เพื่อจะเชื่อแต่เพื่อจะจับผิด

5.@ เมื่อเราเห็นคนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้
แล้วหลีกเลี่ยงการกระทำของพวกเขา
อย่าตามอย่างพวกเขา

วันนี้ เมื่อเห็นคนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แทนที่จะไปโมโหพวกเขาให้เราเสียอารมณ์
สู้เราเรียนรู้ เพื่อจะไม่ทำตามอย่างของเขา จะดีซะกว่า

6.# ที่เมืองเบธ​ไซ​ดา มีคนพาคนตาบอดมา แล้วอ้อนวอนขอให้พระเยซูรักษา
พระองค์ทรงทำแปลกกว่าทุกครั้ง พระองค์ไม่ได้รักษาทันที
แต่ทรง​จูง​มือ​คน​ตา​บอด​ออก​ไป​นอก​หมู่​บ้าน
แล้วทำการรักษาที่นั่น หลังจากนั้นพระองค์สั่งห้าม และกำชับ ไม่ให้เขากลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีก

6.@ ในเรื่องนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจนว่า ทำไมพระเยซูห้ามไม่ให้ชายคนนี้กลับไปในหมู่บ้านอีก

เป็นไปได้ว่า ไม่อยากให้พวกฟาริสีรู้แล้วยิ่งอิจฉาขึ้นไปอีก

แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่า น่าจะเกี่ยวกับ ความเชื่อ

ใน มธ. 11:21 “วิบัติ​แก่​เจ้า เมือง​โค​รา​ซิน วิบัติ​แก่​เจ้า เมือง​เบธ​ไซ​ดา ถ้า​การ​อัศ​จรรย์​ต่างๆ ซึ่ง​ทำ​ท่าม​กลาง​เจ้า​ทั้ง​หลาย ทำ​ใน​เมือง​ไท​ระ​และ​เมือง​ไซ​ดอน คน​ใน​เมือง​ทั้ง​สอง​คง​ได้​นุ่ง​ห่ม​ผ้า​กระ​สอบ​นั่ง​บน​ขี้​เถ้า​กลับใจ​ใหม่​นาน​แล้ว”

พระเยซูกล่าวถึงเมืองเบธไซดาว่า พวกเขาไม่มีความเชื่อ แม้เห็นการอัศจรรย์ก็ยังไม่ยอมกลับใจ

ซึ่งถ้าด้วยเหตุผลนี้ ก็พอเข้าใจได้ว่า
ทำไมพระเยซูต้องจูงชายตาบอดมารักษานอกหมู่บ้าน
และทำไมบอกว่าอย่ากลับเข้าไปในหมู่บ้าน
เพราะคนในหมู่บ้านนั้นไม่มีความเชื่อ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เห็นว่า ความไม่เชื่อมีผลต่อการอัศจรรย์และต่อจิตใจของผู้คน

7.# เมื่อเปโตรและเพื่อนสาวกยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระเยซูกลับห้ามพวกเขา ไม่ให้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้จนกว่าจะถึงเวลา

7.@ การรับใช้พระเจ้า คือการทำตามคำสั่งของพระเจ้า
บางครั้งเราคิดไปเองว่า น่าจะดีที่ทำเช่นนั้น

แต่ก่อนที่จะเริ่มทำสิ่งใด ควรถามพระเจ้า
ด้วยการไตร่ตรองพระคำของพระเจ้าก่อนอยู่เสมอ

8.# เปโตรทักท้วงพระเยซู ไม่ให้กระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา
ทั้งที่เปโตรปรารถนาดีต่อพระองค์
แต่พระเยซูตำหนิเขา ว่า เขาตกเป็นเครื่องมือของซาตาน
เพราะ​เขา​คิด​อย่าง​คน ไม่​ได้​คิด​อย่าง​พระ​เจ้า

8.@ หากเราไม่ได้ใช้พระคำของพระเจ้าในการตัดสินใจต่างๆในชีวิต
ก็ง่ายเหลือเกินที่จิตใจของเราจะมีแนวโน้มคิดอย่างที่คนในโลกนี้เขาคิดกัน
แล้วซาตานก็จะใช้เราเป็นเครื่องมือขัดขวางงานของพระเจ้าได้

9.# พระเยซูสอนว่า คนที่จะติดตามพระองค์ ต้องเลิกทำตามใจปรารถนาของตนเอง
แต่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

9.@ วันนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยที่เราจะทำเช่นนั้น
แล้วเรายังจะทำสิ่งนั้นต่อไปอีกหรือ?

10.# พระเยซูสอนว่า หากไล่จับของอนิจจังในโลกนี้ จะสูญเสียชีวิตนิรันดร์ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าของทั้งโลกนี้รวมกัน

10.@ วันนี้ เราใช้ เวลา สติปัญญาและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา ส่วนใหญ่ ทำอะไร? ทำเพื่อให้ได้รับอะไร?

11.# พระเยซูสอนว่า ใครละอายที่จะยืนอยู่ฝ่ายพระองค์และฝ่ายพระคำของพระองค์ พระเยซูก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาในวันสุดท้าย ที่พระองค์เสด็จมาด้วยสง่าราศีเพื่อจะมอบศักดิ์ศรีแก่คนของพระองค์

11.@ วันนี้ เรากล้าเชื่อฟังกระทำตามพระคำของพระเจ้า หรือ อายที่จะเชื่อฟังกระทำตามพระคำของพระองค์?

วันนี้ เรากล้าบอกให้คนอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเยซูรู้ไหมว่า เรารักพระเยซูมากแค่ไหน?

คำคม

“ สิ่งของในโลกที่กำลังจะถูกเผาไหม้ กับ สิ่งของในสวรรค์ที่จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
เราจะลงทุนกับสิ่งใดมากกว่ากัน? ”