ขุมทรัพย์ ลูกา 6

ภาพรวม

  • บทนี้ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้นำน้ำพระทัยของพระเจ้ามาสำแดงแก่มนุษย์ เพื่อมนุษย์จะสามารถเข้าใจมุมมองฝ่ายวิญญาณได้ ซึ่งไม่อาจเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของโลกนี้

# แนวคิด

@ การประยุกต์ใช้

1.#  พระเยซูทรงอนุญาตให้พวกสาวกเด็ดรวงข้าวกิน และ ทรงรักษาชายมือข้างหนึ่งลีบ ในวันสะบาโต เพื่อสอนคนทั้งหลายให้รู้ว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับวันสะบาโตของพวกเขานั้น คลาดเคลื่อนจากพระประสงค์ของพระเจ้า
พระเจ้าทรงใช้วันสะบาโต เพื่อให้เห็นว่าพระบุตรของพระเจ้าซึ่งไม่อยู่ใต้กฎที่ตั้งไว้สำหรับมนุษย์
และกฎที่ตั้งเอาไว้สำหรับมนุษย์ที่พวกเขาใช้กันอยู่ก็ยังใช้ผิด เพราะนำมาใช้กดดันมนุษย์ แทนที่จะใช้เพื่อช่วยมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรัก
พระเจ้าตั้งกฎวันสะบาโตแก่มนุษย์ เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ต้องการให้มนุษย์มีการพักผ่อน

1.@  การปฏิบัติตามพระคำอย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของพระคำเสียก่อน

วัตถุประสงค์ของพระคำ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และสำแดงความรักแก่มนุษย์
นั่นก็คือ รักพระเจ้าสุดใจ และ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง นั่นเอง

วันนี้ สิ่งที่เราเรียกว่า “รับใช้พระเจ้า”ในชีวิตของเรานั้น ได้ถวายเกียรติแก่พระเจ้าและสำแดงความรักแก่มนุษย์หรือไม่?

2.# ก่อนที่พระเยซูจะเลือกอัครทูต 12 คนนั้น พระองค์ทรงเสด็จขึ้นไปบนภูเขา แยกตัว อธิษฐานต่อพระบิดา ตลอดทั้งคืน

2.@ การที่เราจะตัดสินใจเรื่องสำคัญๆใดๆ สิ่งที่เราควรทำอย่างที่สุด และทำอย่างจริงจัง คือ การปลีกตัวไปแต่ลำพังแล้วอธิษฐาน ขอการนำจากพระเจ้า

น่าเสียดายที่ ที่ผ่านมา เราใช้วิธีนี้น้อยเกินไป จึง ตัดสินใจผิดมากเกินไปเช่นนี้

3.# ดูเหมือน หลังจากที่พระเยซูได้เลือกอัครสาวกทั้ง 12 คนแล้ว พระองค์ก็เริ่มทำพระราชกิจของพระองค์อย่างเต็มที่
ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ความมุ่งหมายสำคัญน่าจะอยู่ที่ การทำให้อัครสาวกได้เห็น เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือนำข่าวประเสริฐประกาศออกไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

3.@ วันนี้ มีหลายอย่างที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น และมีบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา ทั้งหมดอยู่ในกระบวนการที่พระเจ้ากำลังทรงสร้างและพัฒนาชีวิตของเรา ให้เป็นเกลือและแสงสว่าง แก่โลกนี้ เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้การได้ ในการถวายพระเกียรติแด่พระองค์

4.# คำสอนของพระเยซูเรื่องพระพรและวิบัตินั้น ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามุมมองฝ่ายวิญญาณและมุมมองของโลกนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มุมมองฝ่ายวิญญาณเน้นท่าทีในจิตใจ และเน้นผลที่จะได้รับในอนาคตนิรันดร์
มุมมองฝ่ายโลกนี้เน้นสิ่งที่มองเห็นภายนอก และเน้นผลที่จะได้รับในโลกนี้

4.@ คนฝ่ายวิญญาณ คือ คนที่มุมมองสอดคล้องกับพระคำของพระเจ้า
คนของโลกนี้ คือ คนที่มีมุมมองอย่างโลกนี้
คนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณจะได้รับพระพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คนที่เป็นคนของโลกนี้ จะพบความอนิจจังของโลกนี้และวิบัติในโลกหน้า

5.# พระเยซูทรงสอนให้เราสำแดงความรักเมตตา ต่อทั้งคนดีและคนไม่ดี เพราะพระบิดาก็ทรงกระทำเช่นนั้น ในฐานะเป็นบุตรของพระบิดา เราก็สมควรทำเหมือนกับพระองค์

5.@ วันนี้ เราได้สำแดงความรัก เมตตาต่อผู้อื่น เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงสำแดงแก่เรามากเพียงใด?

6.# พระเยซูทรงสอนว่า สิ่งที่เรากระทำต่อผู้อื่นนั้น พระบิดาจะเป็นผู้นำสิ่งนั้นกลับมาสู่เรามากยิ่งกว่าที่เราทำเสียอีก
เมื่อทำสิ่งดีต่อผู้อื่น พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะเป็นผู้ตอบแทนเราเอง
เมื่อทำสิ่งร้ายต่อผู้อื่น พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมจะเป็นผู้จัดการกับเราเอง

6.@ อยากพบกับอะไร ก็จงทำแบบนั้นกับคนอื่นเถิด

7.# พระเยซูทรงสอนว่า เรารู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
คนที่เชื่อและให้พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเขาจริงๆ ผู้นั้นจะทำตามคำที่พระองค์ได้สั่งไว้
ซึ่งสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนนั้น จะพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาเชื่อและให้พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆหรือไม่
ความเชื่อของจริงจะคงอยู่
ความเชื่อของปลอมจะพังลง

7.@ หากเราไม่ฝึกที่จะเชื่อและทำตามพระคำของพระเจ้าไว้ตั้งแต่บัดนี้
เกรงว่า เมื่อพายุมาจริงๆ จะมาฝึกก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้ว

คำคม

“จง​ปฏิ​บัติ​ต่อ​คน​อื่น​เหมือน​อย่าง​ที่​พวก​ท่าน​ปรารถ​นา​ให้​เขา​ปฏิ​บัติ​ต่อ​ท่าน”