ภาพรวม
- ในบทนี้ชี้ให้เห็นว่า การเป็นสาวกของพระเยซู ติดตามพระองค์นั้น จำเป็นต้องมีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง และก็ต้องจริงจังเดินไปในเส้นทางแห่งความเชื่อนั้นตลอดวันคืนของชีวิต
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# พระเยซูส่งสาวก 12 คนออกไปประกาศ ประทานสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชแก่พวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องเอาไปเองเพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จคือ “ความเชื่อ”
พระเยซูเพิ่มคำสั่งที่ทำให้พวกเขาต้องใช้ความเชื่อ เพื่อความเชื่อของพวกเขาจะได้พัฒนา คือ อย่าเอาสิ่งของสำรองติดตัวไปด้วย
เมื่อพวกเขาเชื่อฟัง ทำตาม ออกไปด้วยความเชื่อและสิทธิอำนาจ จึงเกิดผลมากมาย
1.@ วันนี้ พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจแก่เราแล้ว เพื่อเราจะมีชัยเหนือโลกนี้และสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่จำเป็นที่เราต้องมีเพื่อให้สิทธิอำนาจที่เรามีนั้นเกิดผลสำเร็จ คือ ความเชื่อ
ให้เราเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้า ทำตามพระคำของพระองค์ แล้วเราจะพบการอัศจรรย์ในชีวิตของเรา
2.# เฮโรด อันทิพาส อยากพบพระเยซู เพราะอยากรู้ว่า พระเยซู คือ ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ที่เขาสั่งตัดคอนั้น เป็นขึ้นมาจากความตาย ใช่หรือไม่
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้อยากรู้จักพระเยซูเพื่อให้พระองค์ทรงช่วยเขา
ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อเขาพบพระเยซู (ลก. 23:8) การพบครั้งนั้นจึงไม่ได้ช่วยทำให้เขาได้พบความรอดในพระเยซู
เฮโรด ผู้น่าสงสาร ทางเข้าสวรรค์อยู่ต่อหน้าเขา แต่เขากลับไม่ได้เข้าไป
2.@ การอยากพบพระเยซูเป็นสิ่งสำคัญ แต่เหตุผลของการอยากพบพระองค์นั้นสำคัญยิ่งกว่า
บางคนมาหาพระเยซู ก็เพียงเพื่อจะใช้พระเยซู เป็นเครื่องมือช่วยเขาให้ประสบความสำเร็จในทางของโลกนี้เท่านั้นเอง
3.# ในการเลี้ยงชาย 5,000 คนนั้น พวกสาวกมีปัญหาว่าอาหารไม่เพียงพอ
แต่เมื่อเขานำอาหารเหล่านั้นมาให้พระเยซู เป็นผู้จัดการกับอาหารเหล่านั้น
ผลที่เกิดขึ้นคือ อาหารมีมากเพียงพอให้ทุกคนกินกันจนอิ่ม อย่างเหลือเฟือ
3.@ วันนี้ ความสามารถของเรา หรือ สิ่งที่เรามี อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาที่เรากำลังประสบ
จงมอบสิ่งที่เรามีนั้น ให้แด่พระเยซู โดยการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า ใช้สิ่งที่เรามีนั้นตามวิธีการในพระคำของพระองค์
แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่เรามีนั้น เหลือเฟือสำหรับการจัดการกับปัญหาของวันนี้
4.# เมื่อเปโตรและพวกสาวกยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์(พระมาซีฮา) พระเยซูจึงเปิดเผยเพิ่มเติมแก่พวกเขาว่า ใช่แล้วพระองค์เป็นพระคริสต์ และพระคริสต์ผู้นี้จะต้องถูกฆ่าตาย และจะเป็นขึ้นมาในวันที่สาม
4.@ เมื่อเราเริ่มเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดงผ่านพระคำของพระองค์ พระองค์ก็จะยิ่งเปิดเผยให้เราเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีก จากที่เชื่อแล้วนั้น
กุญแจที่จะเข้าใจพระคำของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น คือ การเชื่อ ในพระคำที่เราเข้าใจแล้ว
5.# เสียอะไรก็ไม่เท่าเสียชีวิต และต่อให้เสียชีวิตก็ไม่เท่าเสียชีวิตนิรันดร์
คนที่จะได้ชีวิตรอด คือ คนที่ปฏิเสธค่านิยมแห่งโลกนี้ ติดตามพระเยซูไป
คนที่จะสูญเสียชีวิต คือ คนที่ปฏิเสธพระเยซู ติดตามค่านิยมแห่งโลกนี้ไป
5.@ วันนี้ เราอยู่ฝั่งจะได้ชีวิตรอด หรือ ฝั่งจะสูญเสียชีวิต?
คนอยู่ผิดฝั่ง ย้ายฝั่งด่วน ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย
6.# เปโตรได้เห็นโมเสสซึ่งเกิดมาก่อนเขาราว 1,500 ปี และเอลียาห์ซึ่งเกิดก่อนเขาราว 800 ปี
แน่นอนเปโตรคงไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน รูปเหมือนก็ไม่น่าจะมี ที่เขารู้ว่าเป็นพวกเขาทั้งสองก็คงเพราะเปโตรได้ยินที่พระเยซูสนทนากับพวกเขา แม้กำลังสะลึมสะลือก็ตาม ก็พอน่าจะจับความได้ว่าเป็นพวกเขาทั้งสอง
เมื่อเปโตรได้พบฮีโร่ทั้งสองอย่างไม่คาดฝันนั้น เขาตื่นเต้นมากจึงพยายามทำอะไรบางอย่าง เช่นสร้างเพิงให้พวกเขาเลยดีไหม?
สำหรับพระเจ้าสิ่งที่เปโตรคิดจะทำนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่พระองค์ประสงค์ให้เปโตรฟังพระองค์ คือ ให้เขารู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
6.@ การกระตือรือร้นอยากทำโน่นทำนี่แด่พระเจ้า บางครั้งอาจจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยต่อแผ่นดินของพระเจ้าก็ได้
การสดับฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัสแล้วเชื่อฟัง ย่อมสำคัญกว่าการพยายามทำอะไรเพื่อพระเจ้าด้วยมุมมองความคิดของเราเอง
7.# เมื่อพวกสาวกขับผีโสโครกที่สิงในเด็กไม่ออก พระเยซูตำหนิพ่อของเด็กคนนั้น(มก. 9:19 ฉบับ1971) และประชาชนที่มุงอยู่ว่า ขาดความเชื่อ และพระองค์บอกว่า การที่ต้องพบกับคนที่ขาดความเชื่อนั้นพระองค์ต้องใช้ความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างมาก
7.@ พระเยซูไม่พอพระทัยหากเราขาดความเชื่อวางใจในพระองค์ เพราะนั่นเป็นการลบหลู่พระเจ้า
วันนี้ อย่าให้พระเยซูต้องอดทนกับเรามากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการดำเนินชีวิตแบบขาดความเชื่อไว้วางใจในพระองค์ สำหรับการเผชิญสถานการณ์ของวันนี้
8.# หลังจากที่ เปโตร ยอห์นและยากอบ ได้เห็นพระเยซูจำแลงพระกายบนภูเขาและได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสบอกว่า พระเยซูเป็็นพระบุตรของพระเจ้า แล้ว
พระเยซูก็บอกเขาอีกว่า พระองค์จะถูกประหารชีวิตแล้วในวันที่สามจะเป็นขึ้นมาอีก
แล้วพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เพราะว่าความหมายถูกซ่อนไว้จากพวกเขา จนกว่าจะถึงเวลา
8.@ วันนี้ แม้ดูเหมือนว่าเรามีประสบการณ์กับพระเจ้ามาหลายอย่างแล้ว อ่านพระคำของพระเจ้ามาก็มากแล้ว เราน่าจะเข้าใจพระคำของพระเจ้ามากพอสมควรแล้ว
แต่ความจริงก็คือว่า ยังมีความล้ำลึกอีกมากมายที่ยังคงปิดซ่อนเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลา
แล้วเราจึงจะเข้าใจพระคำข้อนั้นๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา
จงเอาใจใส่พระคำของพระเจ้า ค้นดูว่าพระเจ้าประสงค์จะเปิดเผยอะไรแก่เราในวันนี้
เพราะยังมีสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยเข้าใจมาก่อน รอเพื่อจะเปิดเผยให้แก่เราในพระคำของพระองค์
9.# พระเยซูทรงสอนว่า ”คนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
9.@ ผู้ถ่อมใจเหมือนกับผู้เล็กน้อย จะได้รับการยกชูขึ้นราวกับผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ทำตัวเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ จะถูกเหยียดลงให้เป็นผู้เล็กน้อย
10.# ชาวหมู่บ้านแห่งหนึ่งในสะมาเรียไม่ต้อนรับพระเยซู จึงไม่มีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐที่พระเยซูนำมาประกาศ
บรรดาสาวกต้อนรับพระเยซู และติดตามพระองค์ พวกเขาจึงไม่เพียงได้รับข่าวประเสริฐ แต่ยังเป็นพระพรนำข่าวประเสริฐประกาศออกไปอีกด้วย
พระเยซูอธิบายว่า คนที่จะติดตามพระเยซู ต้องเอาจริง ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เดินหน้าไปในทางของพระเจ้าแบบไม่หันหลังกลับ
10.@ วันนี้ เราต้อนรับพระเยซูแล้ว และเราติดตามพระเยซูแล้วหรือยัง?
เอาจริง ไม่รีรอที่จะเชื่อฟัง และดำเนินต่อไปในทางของพระเจ้าอย่างไม่ลังเล
คำคม
“ ยิ่งเราเชื่อพระคำ เราก็ยิ่งเข้าใจพระคำมากขึ้น ”