ภาพรวม
- พวกผู้นำศาสนามาถามพระเยซูด้วยคำถามเพื่อจับผิด ซึ่งก็ไม่สามารถหาช่องจับผิดพระองค์ได้เลย พระองค์ชี้ให้พวกเขาเห็นว่า ที่พวกเขาคิดว่าตนเชี่ยวชาญและเข้าใจในพระคำของพระเจ้า ความจริงแล้ว เขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1.# เมื่อพวกผู้นำทางศาสนามาถามพระเยซูว่า พระองค์มีสิทธิอะไรที่ขับไล่พวกพ่อค้าออกจากพระวิหารและทำการอัศจรรย์ต่างๆ
พระเยซูไม่ได้ให้คำตอบแก่พวกเขา แต่ถามพวกเขากลับ เรื่องยอห์นผู้ให้บัพติศมา เพื่อให้พวกเขารู้ตัวเองว่า พวกเขาไม่พร้อมสำหรับคำตอบที่พระเยซูจะตอบ
เพราะทั้งที่รู้ว่ายอห์นมาจากพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่เชื่อยอห์น
หากพระเยซูตอบว่า สิทธิอำนาจนี้มาจากพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่เชื่อพระเยซูอยู่ดี
1.@ พระเจ้าปรารถนาที่จะเปิดเผยสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์แก่เรา
แต่บางครั้งเราเองยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดเผยนั้นพระองค์จึงยังไม่ได้ทรงเปิดเผยแก่เรา
หากเรายังไม่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดีในสถานการณ์ตอนนี้
ให้เราแสวงหาพระองค์ อ่านพระคำของพระองค์ รอคอยพระองค์
พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราในเวลาที่เหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอน
แสวงหาพระเจ้า และ รอคอยพระองค์
2.# พระเยซูตรัสอุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า เพื่ออธิบายถึงสิ่งที่พวกผู้นำศาสนาได้ทำ
– เจ้าของสวน หมายถึง พระเจ้า
– สวนองุ่น หมายถึง อิสราเอล หรือ การเป็นประชากรของพระเจ้า
– ผู้เช่าสวน หมายถึง ผู้นำศาสนาของอิสราเอล
– ทาสที่เจ้าของสวนส่งมา หมายถึง บรรดาผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
– บุตรชายเจ้าของสวน หมายถึง พระเยซู
– การทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้น หมายถึง การที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลายใน คศ.70 และอิสราเอลก็จะสิ้นชาติตั้งแต่นั้น จึงถึงเวลาที่กำหนด
– คนอื่นที่จะเข้ามาเช่าแทน หมายถึง อัครสาวกและคริสเตียนทั้งหลาย ที่จะเข้ามาดูแลสิทธิการเป็นประชากรของพระเจ้าแทนผู้นำศาสนาเหล่านั้น โดยผ่านการประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อประกาศให้ใครแล้วคนนั้นเชื่อ คนนั้นก็จะได้เข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นสวนองุ่นของพระองค์
2.@ เหตุที่ชาวสวนถูกทำลาย เพราะพวกเขาไม่ต้องการตอบแทนอะไรแก่เจ้าของสวน และต้องการยึดสวนนั้นมาเป็นของพวกเขาเอง
วันนี้ พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆให้แก่เราดูแล เราได้ใช้สิ่งนั้นถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่?
หรือเรากำลังใช้เพื่อเราเองเท่านั้น?
เรากำลังยึดสวนเป็นของเราเอง ทำประโยชน์เพื่อเราเอง อยู่หรือเปล่า?
จงเรียนรู้จากคนเช่าสวนเหล่านั้น และอย่าทำตามอย่างพวกเขา
3.# พวกผู้นำศาสนาส่งคนมาจับผิดพระเยซู โดยแสร้งยกย่องชมเชยพระเยซู แล้วถามคำถามเพื่อหาเหตุจับพระเยซูส่งให้ทหารโรม หรือทำลายความนับถือของประชาชนต่อพระเยซู
หากพระเยซูสนับสนุนการเสียส่วย ประชาชนก็จะเกลียดชังพระองค์
หากไม่สนับสนุนก็จะผิดกฎหมายโรม
แต่พระเยซูทรงหยั่งรู้อุบายของเขา
พระองค์จึงตอบพวกเขาด้วยกฎฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นจริงทั้งในฝ่ายวิญญาณและฝ่ายโลกนี้
คือ ของของใครก็ควรใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้นั้น
3.@ สิ่งที่เรามีทั้งหมดในวันนี้เป็นของที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เราทั้งสิ้น
ดังนั้น เราควรใช้ทุกสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และรับใช้พระองค์
4.# พวกสะดูสีไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย จึงพยายามมาถามเพื่อจับผิดพระเยซูในเรื่องนี้
พระเยซูทรงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า การเป็นขึ้นมาจากความตายมีจริง มีบอกในพระคัมภีร์แล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้สังเกต หรือยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
4.@ สิ่งที่พระคำของพระเจ้าบอกไว้ บางอย่างเราอาจจะไม่เข้าใจ ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร
นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่เกิดขึ้น
เพียงแค่ความเข้าใจของเรายังไม่มากเพียงพอจึงไม่เข้าใจ ก็เท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ตามมันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดีไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม
5.# พระเยซูทรงสอนว่า ”จำเพาะพระเจ้าทุกคนยังเป็นอยู่”
5.@ ความตายเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนความสัมพันธ์กับพระเจ้า แบบหนึ่ง ไปสู่ความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
6.# พระเยซูทรงถามพวกผู้นำศาสนา โดยยก สดด. 110:1 ถึงความสัมพันธ์ของพระคริสต์ และ กษัตริย์ดาวิด ซึ่งทำให้พวกเขางงงันเป็นอย่างมาก
พวกเขาไม่อาจเข้าใจข้อนี้ได้ นอกจากจะเชื่อว่า พระเยซูผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เท่านั้น
6.@ เราไม่อาจเข้าใจพระคำของพระเจ้าได้ หากเราไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์
เราไม่อาจมีประสบการณ์กับพระเยซู ในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ได้ นอกจากเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นเจ้านายในชีวิตของเราอย่างแท้จริงเท่านั้น
7.# พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกว่า ให้ระมัดระวังที่จะไม่ทำตามอย่างคนหน้าซื่อใจคด ที่การแสดงภายนอกทำตัวเป็นคนดี แต่ภายในเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว พร้อมที่จะสำแดงความเห็นแก่ตัวออกมาทันทีที่มีโอกาส
7.@ พระเยซูเตือนให้ระวัง เพราะว่าเรามีโอกาสและมีแนวโน้มที่จะทำตามคนเหล่านั้นที่ดูดี ดูเหมือนมีหน้ามีตาในสังคม ทั้งที่วิถีชีวิตของเขาขัดแย้งกับพระคำของพระเจ้า
เราควรสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า สิ่งที่เราทำอยู่ในวันนี้ทำตามชาวบ้าน หรือทำตามพระคำของพระเจ้า
คำคม
“รู้พระคำ แต่ไม่ทำตาม สิ่งที่รู้นั้นก็ไร้ค่า”