สรุป โรม 14

ภาพรวม

  • โรม บทที่ 14 เราไม่ควรกล่าวโทษพี่น้อง หรือทำให้พี่น้องสะดุด เพราะเราทุกคนจะต้องให้การต่อพระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำ

# สรุป

@ สื่งที่เรียนรู้

โรม บทที่ 14

จง​ต้อน​รับ​คน​ที่​ยัง​มี​ความ​เชื่อ​น้อย​อยู่
อย่า​โต้​เถียง​กัน​ใน​เรื่อง​ที่​เป็น​ความ​คิด​เห็น​ส่วน​ตัว
เช่นเรื่องอาหารใดกินได้กินไม่ได้ เรื่องวันไหนสำคัญกว่ากัน

อย่ากล่าว​โทษ​บ่าว​ของ​คน​อื่น คนนั้น​จะ​ตั้ง​มั่น​หรือ​จะ​ล่ม​จม​ก็​สุด​แล้ว​แต่​นาย​ของ​เขา
และ​เขา​จะ​ตั้ง​มั่น​แน่​นอน เพราะ​ว่าพระเจ้าทรง​สา​มารถ​ให้​เขา​ตั้ง​มั่น​ได้

ขอ​ให้​ทุก​คน​มี​ความ​แน่​ใจ​ใน​ความ​คิด​เห็น​ของ​ตน​เถิด
และไม่ว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร
ก็จงให้ความคิดเห็นนั้น ​เพื่อ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่พระเจ้า

ให้​เรา​มี​ชีวิต​อยู่​ และ​ ​ตาย​ ​เพื่อ​พระเจ้า ไม่ใช่เพื่อตนเอง

อย่าดู​หมิ่น​พี่​น้อง
เพราะ​ว่า​เรา​ทุก​คน​ต้อง​ยืน​อยู่​หน้า​บัล​ลังก์​พิพาก​ษา​ของ​พระ​เจ้า
และจะ​ต้อง​ทูล​เรื่อง​ราว​ของ​ตัว​เอง​ต่อ​พระ​เจ้า

ดัง​นั้น​จง​ตัด​สิน​ใจ​ ว่า ​จะ​ไม่​วาง​สิ่ง​ซึ่ง​ทำ​ให้​พี่​น้อง​สะดุด
ไม่​มี​อะไร​ที่​เป็น​มล​ทิน​ใน​ตัว​เอง​เลย
แต่​ถ้า​ใคร​ถือ​ว่า​สิ่ง​ใด​เป็น​มล​ทิน​ สิ่ง​นั้น​ก็​เป็น​มล​ทิน​สำ​หรับ​คน​นั้น

ถ้า​พี่​น้อง​เป็น​ทุกข์ ​เพราะ​อาหาร​ที่​ท่าน​กิน
ท่าน​ก็​ไม่​ได้​ประ​พฤติ​ตาม​ทาง​แห่ง​ความ​รัก​เสีย​แล้ว
​อย่า​ให้​สิ่ง​ที่​ดี​สำ​หรับ​ท่าน ไปทำร้าย​คน​อื่น​เลย

​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า​นั้น​ไม่​ใช่​การ​กิน​และ​การ​ดื่ม
แต่​เป็น​ความ​ชอบ​ธรรม สันติ​สุข และ​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์

คน​ที่​ทำเช่น​นี้ ก็​เป็น​ที่​พอ​พระ​ทัย​พระ​เจ้า และ​เป็น​ที่​รับ​รอง​ของ​มนุษย์​ด้วย
ดังนั้น​จงมุ่ง​ประ​พฤติ​ ใน​สิ่ง​ซึ่ง​ทำ​ให้ ​เกิด​ความ​สงบ​สุข​และ​ความ​เจริญ​แก่​กัน​และ​กัน

​การ​กิน​อาหาร​ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ให้​ผู้​อื่น​สะดุด เป็น​สิ่ง​ไม่​ดี
การไม่​กิน​ เพื่อป้องกันให้​พี่​น้อง​สะดุด ย่อมดีกว่า

จง​ให้​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน​ เกี่ยว​กับ​สิ่ง​เหล่า​นี้​ เป็น​เรื่อง​ระหว่าง​ท่าน​กับ​พระ​จ้า
ใคร​ไม่​มี​เหตุ​ติเตียน​ตัว​เอง​ ใน​สิ่ง​ที่​ตน​เห็น​ชอบ​แล้ว​นั้น​ ก็​เป็น​สุข
แต่​การ​กระ​ทำ​ใดๆ ที่​ไม่​ได้​เกิด​จาก​ความ​เชื่อ​ก็​เป็น​บาป​ทั้ง​สิ้น

1. ในบทนี้สอนว่า บางอย่างไม่ใช่หลักการหรือกฏเกณฑ์ ที่ต้องยึดถือปฏิบัติ
เป็นแต่เพียง ความคิดเห็น ซึ่งแต่ละคน อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันได้

เมื่อพบคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรอด หรือข่าวประเสริฐ
เป็นเพียงเรื่องของรูปแบบปฏิบัติ หรือพิธีกรรมเท่านั้น

เราไม่ควรไปกล่าวโทษ หรือดูถูกพวกเขา
ตราบใดที่เรา และพวกเขา ยังสามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ได้
ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น พวกเราก็ยังคงเป็นพี่น้องที่รักกันอยู่ดี

2. การทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่ผิด แต่ทำโดยไม่สนใจความรู้สึกของพี่น้องคริสเตียนคนอื่น
การกระทำเช่นนั้น ​ก็​เป็นการกระทำที่ขัดกับ​ทาง​แห่ง​ความ​รัก​เสีย​แล้ว

การยอมไม่ทำบางอย่าง เพื่อเห็นแก่จิตวิญญาณของพี่น้อง ทั้งที่เรามีสิทธิที่จะทำได้
สิ่งนี้เป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

3. การประยุกต์ใช้ โรม 14 ยังมีอีก สามารถอ่านได้จากลิ้งนี้ครับ
http://bit.ly/2qBwmZh

    คำคม

    “ ​เรา​ทุก​คน​ต้อง​ ยืน​อยู่​หน้า​บัล​ลังก์​พิพาก​ษา​ของ​พระ​เจ้า เพื่อ​ทูล​เรื่อง​ราว​ของ​ตัว​เอง​ ”

    ขุมทรัพย์ โรม 16

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวระลึกถึงคนต่างๆในกรุงโรมที่เปาโลรู้จักและรู้จักเปาโล แล้วจบพระธรรมโรม เน้นว่า พระเจ้าได้เปิดเผยความล้ำลึกให้แก่มนุษย์ได้รับรู้แล้ว

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# – เฟปี ผู้ได้​ช่วย​อุป​ถัมภ์​คน​มาก​มาย​รวม​ทั้ง​ข้าพ​เจ้า​ด้วย
    – ปริส​คา​และ​อาค​วิล​ลา ผู้​เสี่ยง​ชีวิต​เพื่อ​ช่วย​ชีวิต​ของ​เปาโล
    – ​มา​รีย์ ผู้​ที่​ตราก​ตรำ​เพื่อ​พี่น้อง
    – ​อัน​โดร​นิ​คัส​กับ​ยู​นี​อัส ผู้เคยถูก​จำ​จอง​ร่วม​กับเปาโล
    – ​อูร​บา​นัส ผู้​ร่วม​งาน​กับ​เปาโล​ใน​พระ​คริสต์
    – ​อา​เป็ล​เลส​ ผู้​เคย​พิ​สูจน์​ความ​ภักดี​ต่อ​พระ​คริสต์
    – ​ตรี​เฟ​นา​และ​ตรี​โฟ​สา ผู้​ตราก​ตรำ​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า
    – ​นาง​เปอร์​ซีส​ ผู้​​ปฏิ​บัติ​งาน​มาก​มาย​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า

    1.@ เราปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าได้โดยการอุปถัมภ์ผู้อื่นในการรับใช้พระเจ้า , โดยเสี่ยงชีวิตเพื่อพระเจ้า , โดยตรากตำเพื่อพี่น้อง , โดยถูกจองจำหรือทำร้ายด้วยการกระทำ ด้วยคำพูด เนื่องจากข่าวประเสริฐ , โดยร่วมงานกับผู้ที่รับใช้พระเจ้า , โดยพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อพระเยซูออกมาเป็นการกระทำ , โดยปฏิบัติงานรับใช้พระเจ้า

    2.# คนที่รับใช้พระคริสต์ กับ คนที่รับใช้ตัวเอง แตกต่างกันที่แรงจูงใจในการทำ ว่า ทำเพื่อประโยชน์ของพระคริสต์ หรือ ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง

    2.@ วันนี้ หากการรับใช้พระเจ้า ทำให้เราต้องเสียประโยชน์บางอย่าง เรายังจะรับใช้ต่อไปหรือไม่?

    3.# จง​เชี่ยว​ชาญ​ใน​การ​ดี และ​ทึ่ม​ใน​การ​ชั่ว

    3.@ เราควรฝึกฝนตนเองในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ และควรเลิกที่จะฝึกฝนตนเองในการกระทำสิ่งที่ขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้า

    4.# ​ข้อ​ล้ำ​ลึก ซึ่ง​ได้​ปิด​บัง​ไว้​ตั้ง​แต่​โบ​ราณ​กาลนั้น ได้ถูกเปิดเผยออกแล้ว โดยทางพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ก็จะพบกับข้อล้ำลึกนั้น คือ มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้าได้

    4.@ วันนี้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว แล้วเรากลับคืนดีแล้วหรือยัง?

    คำคม

    “ การรับใช้ที่แท้จริง คือ การกระทำเพื่อให้พระเจ้าได้รับประโยชน์สูงสุด”

    ขุมทรัพย์ โรม 15

    ภาพรวม

    • ในบทนี้กล่าวถึงการดำเนินชีวิตคริสเตียนโดยการคำนึงถึงพี่น้องที่อ่อนแอกว่าและระลึกถึงคนทั้งหลายที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# คนที่เข้มแข็งควรอดทนต่อคนที่อ่อนแอกว่า เพื่อเสริมสร้างพวกเขาให้จำเริญขึ้น

    1.@ หากเราเห็นความบกพร่องของพี่น้อง เราควรอดทนต่อพวกเขา รักเขา ช่วยพวกเขาให้สามารถปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตน

    2.# เมื่อเราบริ​บูรณ์​ด้วย​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี และ​สันติ​สุข​ใน​ความ​เชื่อแล้ว เราจะ​ได้​เปี่ยม​ด้วย​ความ​หวัง​โดย​ฤทธิ์​เดช​แห่ง​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์

    2.@ โดยความเชื่อ ทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีได้เสมอ และมีสันติสุขในพระเจ้าได้ตลอดเวลา
    หากสูญเสียความเชื่อ จะทำให้เราขาดความชื่นชมยินดีและสันติสุข

    และโดยความชื่นชมยินดีและสันติสุขที่เรามี จะทำให้เรามีความหวังเต็มเปี่ยม สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะนำความชื่นชมยินดีและสันติสุขมากยิ่งกว่าปัจจุบันที่ได้รับแล้วเสียอีก

    3.# เปาโลตั้ง​เป้า​ไว้​ว่า​จะ​ประ​กาศ​ข่าว​ประ​เสริฐ​ใน​ที่​ซึ่ง​ไม่​เคย​รู้จักพระเยซูมาก่อน

    3.@ วันนี้ มีบางคนที่ไม่มีเพื่อนคริสเตียนคนอื่นเลยที่ใกล้ชิดกับเขาเท่ากับเรา
    ถ้าเราไม่ประกาศกับเขาแล้วใครเล่าจะไปประกาศกับเขา

    4.# เปาโลขอให้พี่น้องที่โรม ให้​ร่วม​อธิษ​ฐาน​ต่อ​พระ​เจ้า​ด้วย​ใจ​กระ​ตือ​รือ​ร้น​เพื่อ​งานรับใช้ของเปาโล เป็นการทำให้พี่น้องเหล่านั้นเติบโตขึ้นและกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการรับใช้พระเจ้า

    4.@ วันนี้ เราสามารถมีส่วนร่วมในการรับใช้พระเจ้าได้ ด้วยการอธิษฐานเผื่องานรับใช้ของคนที่กำลังรับใช้พระเจ้าในด้านต่างๆ

    คำคม

    “คนที่เข้มแข็งกว่า ควรช่วยคนที่อ่อนแอกว่า ไม่ใช่ตำหนิ”

    ขุมทรัพย์ โรม 14

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึง ชีวิตคริสเตียนแท้จะดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า ด้วยการคำนึงถึงผู้อื่นอยู่เสมอ

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ไม่ควรกล่าวโทษหรือดูหมิ่น ผู้ที่มีมุมมอง ต่อผู้ที่มีมุมมองต่อพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างจากเรา
    หากพวกเขายังคงเชื่อในข่าวประเสริฐแท้และเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จริงๆ พวกเขาก็เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา
    พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า มุมมองของใครถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ในวันพิพากษา

    1.@ วันนี้หากมีพี่น้องบางคน มีมุมมองแตกต่างจากเรา ในบางเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวกับความรอด หรือข่าวประเสริฐ เราควรมองข้าม ไม่ตำหนิ หรือ ดูหมิ่นเขา แต่หาทางที่จะทำงานร่วมกัน รับใช้พระเจ้าร่วมกัน ท่ามกลางมุมมองที่แตกต่างนั้น

    2.# ถ้า​เรา​มี​ชีวิต​อยู่​ ก็จงอยู่​เพื่อพระ​เจ้า และ​ถ้า​เราจะ​ต้องตาย ​ก็​จงตายเพื่อ​พระ​เจ้า

    ไม่ใช่อยู่เพื่อ หาเงิน หาชื่อเสียง หาความสำเร็จ
    ไม่ใช่จะตายอยู่แล้ว เพราะมัวแต่หาเงิน หาชื่อเสียง หาความสำเร็จ

    2.@ เราควรใช้สิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้เพื่อพระเจ้า
    และถ้าทำเพื่อพระเจ้าแล้วต้องเผชิญภยันตรายถึงตาย ก็ยังคงเต็มใจทำเพื่อพระเจ้า

    3.# รม. 14:13 “…จง​ตัด​สิน​ใจ​ดี​กว่า​ว่า​จะ​ไม่​วาง​สิ่ง​ซึ่ง​ทำ​ให้​พี่​น้อง​สะดุด หรือ​สิ่ง​กีด​ขวาง​ทาง​ของ​เขา”

    อย่าทำให้พี่น้องสะดุด เพราะการกระทำหรือคำพูดของเรา
    เพราะว่าพระเยซูตายเพื่อเขาจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า
    ไฉนจะมาทำให้เขาต้องพลาดไปจากแผ่นดินของพระเจ้า เพราะการกระทำหรือคำพูดของเราเล่า
    เราผู้รักพระเยซู ย่อมไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน

    ดังนั้น จงยอมงดใช้สิทธิบางอย่าง ทั้งที่เรามีสิทธิจะทำได้ ถ้าการงดใช้สิทธินั้นจะช่วยให้พี่น้องของเราไม่สะดุด

    3.@ เรามีเสรีภาพที่จะทำบางอย่างได้ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำ เพราะความรักที่เรามีต่อพระเยซู

    คำคม

    “ผู้ที่รักพระเยซู จะไม่ทำร้ายคนที่พระเยซูทรงรัก”

    ขุมทรัพย์ โรม 13

    ภาพรวม

    • ในบทนี้กล่าวถึงการดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นคนที่มีชีวิตใหม่แล้ว ด้วยการเชื่อฟังผู้นำที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และรักเพื่อนบ้านโดยสำแดงออกเป็นการกระทำ และดำเนินชีวิตอย่างคนที่รู้ตัวว่า วันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้นใกล้เข้ามาแล้ว

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ​ผู้​ที่​ถือ​อำนาจหั้งหลาย​นั้น พระ​เจ้า​ทรง​แต่ง​ตั้ง​ขึ้น ไม่​มี​อำนาจ​ใด​เลย​ที่​ไม่​ได้​มา​จาก​พระ​เจ้า
    ดังนั้น เราจำเป็นต้องให้เกียรติและเชื่อฟังผู้มีอำนาจ ไม่ใช่เพราะกลัวพวกเขา แต่เพราะยำเกรงพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพวกเขาไว้
    ในเมื่อพระเจ้าทรงเห็นแล้วว่า เวลานี้คนๆนี้สมควรมีอำนาจ ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเรา ที่จะบอกว่า ไม่ดี ไม่เหมาะ วันนี้คนนี้ไม่ควรมีอำนาจ

    1.@ การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ เป็นการให้เกียรติพระเจ้า
    คนที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ให้เกียรติ ผู้มีอำนาจ เขากำลังลบหลู่พระเจ้า

    2.# จงให้เกียรติแก่ทุกคน ที่สมควรให้เกียรติ

    2.@ เราสมควรให้เกียรติและเคารพ ผู้ที่สมควรได้รับเกียรติ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้รับใช้พระเจ้า ญาติผู้ใหญ่ ผู้นำทั้งหลาย ฯลฯ
    ยิ่งกว่าสักเท่าใด เราสมควรปฏิบิติต่อพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดและทรงพระคุณเหลือล้นแก่เรา ด้วยความเคารพ ยำเกรงและให้เกียรติ ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจของเรา

    3.# อย่า​เป็น​หนี้​อะไร​ใคร​เลย นอก​จาก​ความ​รัก​ซึ่ง​มี​ต่อ​กัน

    3.@ พระคัมภีร์ สอนชัดเจนว่าไม่ควรเป็นหนี้ ดังนั้น คนที่เป็นหนี้อยู่ อย่าพยายามสร้างหนี้เพิ่ม แต่ให้พยายามปลดหนี้นั้น โดยอธิษฐานขอหนทางออกจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อ
    พระเจ้าเป็นผู้บอกเองว่า อย่าเป็นหนี้

    บัดนี้เราผิดพลาดพลั้งไปจนเป็นหนี้ แล้วถ้าเราร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยจริงใจ ด้วยความเชื่อ เพื่อให้พระองค์ประทานหนทางให้แก่เรา ในปลดหนี้
    พระองค์จะทรงโปรดทรงฟังเราอย่างแน่นอน จงทูลขอด้วยความเชื่อเถิด

    ในขณะเดียวกัน พระคัมภีร์สอนให้เราสำแดงความรักต่อผู้อื่น และไม่ลืมหนี้บุญคุณที่ผู้อื่นได้สำแดงความรักแก่เรา

    4.# ผู้ที่รักเพื่อนบ้าน จะ​ไม่​ทำ​อัน​ตราย​ต่อ​เพื่อน​บ้าน​เลย ดังนั้นเมื่อเรา​รักเพื่อนบ้านเช่นนี้ เรา​จึง​ทำตาม​ธรรม​บัญ​ญัติ​สำเร็จ​​อย่าง​ครบ​ถ้วน

    4.@ วันนี้ คำพูด การกระทำ สายตา หรือ ความคิดของเรา กำลังทำร้ายผู้อื่นอยู่หรือไม่?
    หากเป็นเช่นนั้น จงกลับใจเสียใหม่ เพราะเรากำลังเดินในหนทางที่สวนทางกับ การรักเพื่อนบ้านเสียแล้ว

    5.# เวลานี้ ​เป็น​เวลา​ที่​ควร​ตื่น​จาก​หลับ​แล้ว เพราะ​ว่า​เราเข้าใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จกลับ เข้าไปทุกทีแล้ว เข้าใกล้มากกว่าวันที่เรารับเชื่อ มากมายแล้ว

    ดังนั้น ให้​เรา​เลิกบรร​ดา​กิจ​การ​แห่ง​ความ​มืดเสีย แล้ว​สวม​เครื่อง​อา​วุธ​แห่ง​ความ​สว่าง
    เลิกทำตามอย่างคนของโลกนี้ แต่หันมาทำตามพระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง

    เลิกจัดเตรียมสิ่งของที่จะมาบำรุงบำเรอเนื้อหนังหรือความอยากทั้งหลายแห่งโลกนี้
    แต่หันมาจัดเตรียมเพื่อสิ่งที่คงอยู่ถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ ด้วยการดำเนินชีวิตถวายเกียรติพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และด้วยการปรนนิบัติรับใช้พระองค์

    5.@ วันนี้ เราตื่นหรือยัง?

    คำคม

    “ ความรักที่มีต่อพระเจ้า สะท้อนออกมาเป็นการให้เกียรติพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านเสมอ”

    ขุมทรัพย์ โรม 12

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงการดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ว่าเริ่มต้นด้วยการถวายตัวอย่างจริงใจแก่พระเจ้า แล้วให้พระองค์เปลี่ยนชีวิตจิตใจ จากนั้นก็ดำเนินตามพระคำของพระองค์

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ​เครื่อง​บูชาที่​พระ​เจ้าพอพระทัย ไม่ใช่การทำอะไรยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้า แต่เป็นการถวายกายใจของเราแด่พระองค์ อย่างเต็มใจ

    1.@ วันนี้ สิ่งที่พระเจ้าปรารถนาจากเรา ไม่ใช่การทำงานรับใช้อย่างทุ่มเทมากมายสุดกำลัง แต่เป็นการทำทุกอย่างด้วยความรักที่มีต่อพระองค์อย่างหมดหัวใจ

    2.# อุปนิสัยของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ไม่ใช่โดยการทุ่มเทบังคับตนเองอย่างเต็มกำลัง แต่โดยการยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา

    2.@ การเปลี่ยนแปลงจิตใจนี้เกิดผ่านพระคำของพระเจ้า
    โดยที่เราต้องเห็นด้วยกับค่านิยมจากพระคำของพระเจ้า และไม่เห็นด้วยกับค่านิยมจากโลกนี้

    3.# เราเป็นอวัยวะในพระกายเดียวกันในพระคริสต์ เราไม่ได้สำคัญกว่าคนอื่น แม้เราจะทำงานที่ดูเหมือนสำคัญกว่า
    ทุกอวัยวะในพระกายล้วนสำคัญ และเราต้องการกันและกัน

    3.@ เมื่อพระเจ้าให้ของประทาน ความสามารถใดๆให้แก่เรา เราก็ควรใช้สิ่งนั้นอย่างสัตย์ซื่อ ตามพระคุณที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา
    คนที่ได้มามาก ก็ใช้ออกไปมาก คนที่ได้มาน้อย ก็ให้ตามเท่าที่มี

    4.# จง​รักจาก​ใจ​จริง
    จง​เกลียด​ชัง​สิ่ง​ที่​ชั่ว
    จง​ยึด​มั่น​ใน​สิ่ง​ที่​ดี
    จง​รัก​กัน​ฉัน​พี่​น้อง
    จง​ขวน​ขวาย​ใน​การ​ให้​เกียรติ​กัน​และ​กัน
    อย่า​อ่อน​ระอา
    จง​มี​จิต​ใจ​กระ​ตือ​รือ​ร้น​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ
    จง​ปรน​นิบัติ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า
    จง​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​ความ​หวัง
    จง​สู้​ทน​ต่อ​ความ​ยาก​ลำ​บาก
    จง​ขะ​มัก​เขม้น​อธิษ​ฐาน
    จง​เห็น​อก​เห็น​ใจ​ช่วย​ธรร​มิก​ชน​เมื่อ​เขา​ขัด​สน
    จง​อุต​ส่าห์​ต้อน​รับ​แขก​แปลก​หน้า
    จง​อวย​พร​แก่​คน​ที่​เคี่ยว​เข็ญ​ท่าน
    จง​อวย​พร อย่า​แช่ง​ด่า​เลย
    จง​ชื่น​ชม​ยินดี​กับ​ผู้​ที่​มี​ความ​ชื่น​ชม​ยินดี
    จง​ร้อง​ไห้​กับ​ผู้​ที่​ร้อง​ไห้
    จง​เป็น​น้ำ​หนึ่ง​ใจ​เดียว​กัน
    อย่า​ใฝ่​สูง แต่​ยอม​สมา​คม​กับ​คน​ต่ำ​ต้อย
    อย่า​ถือ​ว่า​ตัว​ฉลาด
    อย่า​ทำ​ชั่ว​ตอบ​แทน​ชั่ว​แก่​ใคร​เลย
    ​จง​มุ่ง​ทำ​สิ่ง​ที่​ใครๆ ก็​เห็น​ว่า​ดี
    จง​อยู่​อย่าง​สงบ​สุข​กับ​ทุก​คน
    อย่า​แก้​แค้น แต่​จง​มอบ​การ​นั้น​ไว้ แล้ว​แต่​พระ​เจ้า​
    อย่า​ให้​ความ​ชั่ว​ชนะ​เรา​ได้
    ​จง​ชนะ​ความ​ชั่ว​ด้วย​ความ​ดี

    4.@ จงเลือกทำอย่างน้อยสักอย่างในสัปดาห์นี้

    คำคม

    “ พระเจ้าเปลี่ยนชีวิตของเราได้ หากเรายอมให้พระองค์เปลี่ยน”

    ขุมทรัพย์ โรม 11

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงคนยิวว่า การที่พวกเขาปฏิเสธพระเยซู ทำให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไปทั่วโลก แต่ในที่สุดแล้ว สักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้กลับมาเชื่อวางใจในพระเยซู

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ในท่ามกลางคนยิวที่ส่วนใหญ่ปฏิเสธพระเยซูนั้น มียิวบางคนที่เชื่อวางใจในพระเยซู แล้วได้รับความรอด

    1.@ ท่ามกลางคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมเชื่อนั้น มีบางคนที่พร้อมที่จะเชื่ออยู่
    ดังนั้นถ้าเราคิดว่า คนกลุ่มนี้พวกเขาคงไม่เชื่อหรอก จึงไม่บอกเรื่องความรอดแก่เขา จะทำให้คนที่จะเชื่อนั้นพลาดโอกาสของการได้ยินข่าวประเสริฐนั้นไป

    จงประกาศข่าวประเสริฐแก่ทุกคนที่เราสามารถทำได้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เขาเป็นกลุ่มที่จะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ

    2.# ​การ​ที่​พวก​ยิวไม่เชื่อ และปฏิเสธพระเยซูนั้น เป็น​เหตุ​ให้ความรอดแพร่ไปถึง​คน​ทั้ง​โลก ทำให้คนมากมาย​ได้มีโอกาสกลับ​คืน​ดี​กับ​พระ​เจ้า

    2.@ การที่พวกยิวเลือกปฏิเสธพระเยซู เป็นสิ่งผิดพลาดใหญ่หลวงของพวกเขา
    แต่พระเจ้าก็ทรงสามารถใช้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นพระพรแก่ผู้คนมากมายได้

    วันนี้ ความผิดพลาดพลั้งไปของเรานั้น พระเจ้าทรงสามารถใช้ให้กลายเป็นพระพรได้
    โดยที่ ถ้าเรากลับมาหาพระเจ้า พระองค์จะทรงใช้ความผิดพลาดนั้นเป็นพระพรต่อทั้งตัวเราเองและผู้อื่น
    แต่ถ้าเราไม่ยอมกลับมาหาพระองค์ ความผิดพลาดนั้นจะเป็นพระพรแก่ผู้อื่นเท่านั้น

    จงกลับมาหาพระเจ้าเถิด

    3.# รม. 11:22 “…​จง​พิจาร​ณา​ดู​ทั้ง​พระ​กรุณา​และ​ความ​เข้ม​งวด​ของ​พระ​เจ้า …”

    พระเจ้าทรงพระกรุณาแก่คนหลงผิด ที่กลับใจ
    พระเจ้าทรงเข้มงวดต่อคนหลงผิดที่ไม่ยอมกลับใจ

    3.@ คนยิวพลาดไปจากพระสัญญาของพระเจ้า เพราะเขาไม่เชื่อ
    เราได้รับตามพระสัญญา เพราะเราเชื่อ
    ดังนั้น จนยึดมั่นความเชื่อเอาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป

    4.# ความไม่เชื่อฟังของพวกยิว ทำให้ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติที่ไม่เชื่อฟัง
    แล้ว คนต่างชาติก็เชื่อ ทำให้พวกเขาได้รับพระเมตตา
    โดยพระเมตตานั้น ทำให้พวกยิวที่ไม่เชื่อฟังนั้น ได้รับพระเมตตาด้วย
    จนพวกยิวกลายมาเป็นผู้ที่เชื่อ

    ดังนั้นในที่สุดแล้วพระเจ้าได้​ทรง​พระ​เมต​ตา​แก่​เขา​ทุก​คน ที่ไม่เชื่อฟังนั้น

    4.@ พระ​ปัญ​ญา​และ​ความ​รอบ​รู้​ของ​พระเจ้า​นั้น ช่างล้ำ​ลึก​เกินกว่าจะเข้าใจได้
    ข้อ​ตัดสิน​ของ​พระ​องค์​นั้น​ ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะเข้าใจได้หมด
    ​ทาง​ของ​พระ​องค์​นั้น ซับซ้อนเกินกว่าที่จะค้นพบได้ด้วยตนเอง

    5.# รม. 11:35 “…ใคร​ได้​ถวาย​สิ่ง​หนึ่ง​สิ่ง​ใด​แก่​พระ​องค์ ที่​พระ​องค์​จะ​ต้อง​ตอบ​แทน​เขา? ”
    ในเมื่อทุกสิ่งเป็นของพระองค์ มาจากพระองค์

    5.@ สิ่งใดๆที่เราถวายแด่พระเจ้านั้น ความจริงแล้วเราก็แค่ถวายของพระองค์ กลับคืนแด่พระองค์
    ดังนั้นเราไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับพระองค์เลย
    เป็นพระคุณของพระเจ้าต่างหากที่ประทานให้เรามีสิ่งเหล่านั้น เพื่อเราจะได้รับเกียรติได้ถวายแด่พระองค์

    คำคม

    “เราได้รับพระเมตตา เพื่อพระเจ้าจะทรงสำแดงพระเมตตาผ่านเราไปสู่ผู้อื่น”

    ขุมทรัพย์ โรม 10

    ภาพรวม

    • ในบทนี้กล่าวถึงความรอดที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อข่าวประเสริฐและต้อนรับพระเยซูเป็นเจ้านายในชีวิตของเขา ซึ่งน่าเสียดายที่พวกยิวจำนวนมากที่ข่าวประเสริฐมาถึงพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่เชื่อจึงไม่มีส่วนในความรอดที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# คนยิวกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่ทำแบบไร้ปัญญา เพราะพวกเขาปรนนิบัติพระเจ้าแบบไม่ฟังพระเจ้า พวกเขาทำตามความคิดของพวกเขาเอง
    แล้วพอพระเจ้าเปิดเผยว่า ไม่ใช่แบบนั้น พวกเขาก็ไม่ฟังพระเจ้า แต่ยังคงทำเหมือนเดิมต่อไป

    1.@ หากเราพยายามรับใช้พระเจ้า โดยไม่สนใจว่าพระคำของพระเจ้าสอนให้เราทำอย่างไร การรับใช้นั้นเป็นการรับใช้แบบไร้ปัญญา
    เช่น รับใช้พระเจ้าเพิ่อให้งานรับใช้สำเร็จอย่างดี โดยไม่คำนึงถึงความรักที่มีต่อพี่น้อง จัดงานคริสตมาสจนทะเลาะกัน เป็นต้น

    2.# หลักความชอบธรรมที่มาจากการประพฤติ คือ ใครประพฤติได้ ก็จะได้ความชอบธรรม
    หลักความชอบธรรมที่มาจากความเชื่อ คือ ใครเชื่อจริงๆ ก็จะได้ความชอบธรรม

    2.@ ความชอบธรรมโดยการประพฤตินั้น ไม่มีใครสามารถทำสำเร็จได้ นอกจากพระเยซู พระองค์ประพฤติอย่างสมบูรณ์
    ดังนั้น คนที่เชื่อวางใจในพระเยซู พระเยซูจึงประทานความชอบธรรมแก่เขา เป็นความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อ

    เราชอบธรรมได้ เพราะเราเชื่อวางใจในพระเยซู ผู้ได้รับความชอบธรรมมาด้วยการประพฤติ

    3.# รม. 10:9 “…​ถ้า​ท่าน​จะ​ยอม​รับ​ด้วย​ปาก​ของ​ท่าน​ว่า พระ​เยซู​ทรง​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​เชื่อ​ใน​ใจ​ว่า พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ให้​พระ​องค์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย ท่าน​จะ​รอด”

    ยอมรับพระเยซู ว่าเป็นเจ้านายในชีวิตของเรา สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ(มธ. 15:18) นั่นคือ ผู้นั้นต้องให้พระเยซูคริสต์ครองบัลลังก์ใจ เป็นเจ้านายในชีวิตของเขา

    เชื่อในใจ ไม่ใช่เชื่อแค่ปาก
    ไม่ใช่พูดดีแต่ปาก แต่เชื่อจริงๆลึกเข้าไปในใจ
    เชื่อ ว่า พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย
    – ก่อนฟื้นจากตาย แน่นอนต้องตายก่อน นั่นคือเชื่อว่าพระเยซูตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเรา
    – แล้วพระเยซูถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นคือเชื่อว่า พระองค์พิชิตความตายแล้ว เราเองผู้อยู่ในพระองค์ย่อมมีชีวิตใหม่แล้วเช่นกัน
    – เชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้พระเยซูฟื้นจากความตาย ดังนั้น เราผู้อยู่ในพระองค์จะถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้ายด้วยเช่นกัน

    3.@ ผู้เชื่อแท้ คือ ผู้ให้พระเยซูคริสต์เป็นเจ้านายของเขา และเชื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์บาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว เขาเป็นคนใหม่ในพระคริสต์แล้ว

    4.# รม. 10:10 “เพราะ​ว่า​การ​เชื่อ​ด้วย​ใจ​ก็​นำ​ไป​สู่​ความ​ชอบ​ธรรม และ​การ​ยอม​รับ​ด้วย​ปาก​ก็​นำ​ไป​สู่​ความ​รอด”

    การเชื่อว่า การบาปของเขาได้รับการชำระแล้ว เขาเป็นคนใหม่แล้วโดยพระเยซูคริสต์ ความเชื่อเช่นนี้แหละที่ทำให้คนนั้นเป็นคนชอบธรรม
    และ การยอมให้พระเยซูทรงเป็นเจ้านาย เจ้าของชีวิตของเขา เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับผู้ที่จะรอดพ้นนรกเข้าสู่สวรรค์

    4.@ วันนี้ เรามั่นใจจริงๆหรือเปล่าว่า บาปของเราได้รับการอภัยแล้ว เราเป็นคนใหม่แล้ว โดยพระเยซูคริสต์
    และ วันนี้ พระเยซูทรงเป็นเจ้านายเจ้าของชีวิตของเรา จริงๆหรือเปล่า?

    5.# รม. 10:17 “…​ความ​เชื่อ​เกิด​ขึ้น​ได้​ก็​เพราะ​การ​ได้​ยิน และ​การ​ได้​ยิน​เกิด​ขึ้น​ได้​ก็​เพราะ​การ​ประ​กาศ​พระ​คริสต์”

    น่าเสียดายที่คนยิวจำนวนมาก ได้ยินการประกาศพระคริสต์แล้ว
    แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ พวกเขาจึงพลาดจากความรอดที่พระเจ้าประทานให้

    5.@ หน้าที่ของเราผู้ได้รับความรอดแล้ว คือ ประกาศเรื่องความรอดนี้ออกไปให้ผู้อื่นได้ยิน
    เพราะถ้าพวกเขาไม่ได้ยินการประกาศพระคริสต์ พวกเขาก้ไม่สามารถเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ได้
    ครั้งเมื่อเราประกาศออกไปแล้ว พวกเขาจะเชื่อหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องเลือกเอง และได้รับผลแห่งการเลือกนั้นเอง

    คำคม

    “ความรอดมาถึงทุกคน แต่เฉพาะคนที่เชื่อเท่านั้นจึงจะได้้รับ”

    ขุมทรัพย์ โรม 9

    ภาพรวม

    • ในบทนี้พูดถึงอิสราเอล ชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือก เพื่อจะประทานความรอดผ่านทางพวกเขาไปยังประชาชาติ แต่พวกเขาเองกลับปฏิเสธความรอดจากพระเจ้า ด้วยการไม่เชื่อวางใจในพระเยซู ดังนั้นพวกเขาเองจึงมีคนได้รับความรอดนั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# รม. 9:6 “…​ไม่​ใช่​ทุก​คน​ที่​เกิด​มา​จาก​อิส​รา​เอล​นั้น เป็น​คน​อิส​รา​เอล​แท้”
    เฉพาะผู้เชื่อวางใจในพระเจ้า เหมือนอย่างอับราฮัมเท่านั้น ถึงจะนับว่าเป็นอิสราเอลแท้ เป็นผู้มีสิทธิมีส่วนในพระสัญาของพระเจ้า

    1.@ วันนี้ โดยความเชื่อเราจึงมีสิทธิในพระสัญญาของพระเจ้า
    นั่นคือ หากเราไม่เชื่อพระคำของพระเจ้า เราจะไม่ได้รับตามพระสัญญาในพระคำของพระองค์

    วันนี้ เราเชื่อจริงๆหรือไม่ว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับเราในพระคัมภีร์นั้น จะเกิดขึ้นเป็นจริงอย่างแน่นอน

    2.# รม. 9:15-16 … พระเจ้าตรัสว่า “เรา​ประ​สงค์​จะ​กรุณา​ใคร เรา​ก็​จะ​กรุณา​คน​นั้น และ​เรา​จะ​เมต​ตา​ใคร เรา​ก็​จะ​เมต​ตา​คน​นั้น เพราะ​ฉะนั้น ทุก​สิ่ง​จึง​ไม่​ขึ้น​กับ​ความ​ตั้ง​ใจ​หรือ​ความ​มานะ​ของ​มนุษย์ แต่​ขึ้น​อยู่​กับ​พระ​เมต​ตา​ของ​พระ​เจ้า”

    พระเมตตาจากพระเจ้า ที่เราได้รับในวันนี้ ไม่เกี่ยวกับ คุณสมบัติของเรา หรือ ความพยายามของเรา แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าล้วนๆที่ทรงเลือกและเรียกเรา

    2.@ เรามีวันนี้ได้ เพราะพระคุณของพระเจ้า อย่าเย่อหยิ่งไปเลย
    เรามีเพราะเราได้รับมา เพราะพระเมตตาของพระเจ้าที่ประทานแก่เรา

    3.# พระเจ้าทรงเมตตาแก่ทุกคน แต่คนจำนวนหนึ่งไม่รับพระเมตตาจากพระองค์ พระองค์ก็ยังคงอดทนต่อพวกเขา(ข้อ22) จนกระทั่งหมดเวลา พวกเขาจะได้รับ พระพิโรธจากพระเจ้า ผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรมแทน
    แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง ตอบรับพระเมตตา จึงได้รับพระเมตตา แล้วพบพระคุณมากมาย ที่ทรงมีต่อพวกเขา ประทานเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งใหญ่แก่พวกเขา

    จึงกล่าวได้ว่า
    ฝ่ายหนึ่งเกิดมาเพื่อรับพระพิโรธ
    อีกฝ่ายหนึ่งเกิดมาเพื่อรับพระเมตตา

    3.@ วันนี้ พระเจ้าทรงสำแดงพระเมตตาของพระองค์แก่เราแล้ว โดยการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาตายแทนเรา
    เราจะตอบสนองต่อพระเมตตาที่พระเจ้าประทานให้นี้อย่างไร?
    เชื่อ และวางใจในพระองค์ แล้วดำเนินชีวิตตามที่เชื่อนั้น
    หรือ
    บอกว่าเชื่อวางใจ แต่ดำเนินชีวิตสวนทางกับที่พูดว่าเชื่อนั้น
    หรือ
    ปฏิเสธ ไม่ต้องการรับพระเมตตานั้น

    4.# ลูกหลานของอับราฮัมทางสายเลือดมีมากมาย แต่เพราะความไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาพ่ายแพ้ศัตรู บ้านเมืองถูกทำลาย ประชาชนจากหลายล้านคน เหลือเพียงแค่ไม่กี่หมื่นคน แล้วถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน (586 ก.คศ.)
    ต่อมาพระเจ้าเมตตาให้พวกเขากลับมายังบ้านเมืองของตนอีกครั้ง แล้วทวีประชากรมากขึ้น
    แต่เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขากลับปฏิเสธพระองค์และจับพระองค์ไปตรึงเสียที่กางเขน (คศ.33)

    ลูกหลานของอับราฮัมทางสายเลือด มีมากมาย ความรอดจากพระเจ้ามาถึงพวกเขาแล้ว
    แต่น่าเสียดายที่มีเพียงเล็กน้อยในพวกเขาเท่านั้นที่ได้ความรอดที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เชื่อวางใจในพระเยซู

    4.@ วันนี้ ความรอดมาถึงเราแล้ว เราตอบสนองอย่างไร?
    ลูกหลานของอับราฮัมทางสายเลือดไม่ได้รับความรอดเพราะพวกเขาไม่เชื่อฉันใด
    หากเราไม่เชื่อวางใจในพระเยซูจริงๆ เราก็จะไม่มีส่วนในความรอดที่มาจากพระเจ้าฉันนั้น

    วันนี้ หากเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ความรอดจากพระเจ้าเป็นของเราแล้ว
    เราควรจะทำอย่างไรต่อความรอดนี้?
    ควรหรือที่เราจะเก็บเรื่องที่แสนดีนี้ไว้แต่ลำพัง แทนที่จะบอกเรื่องนี้ออกไปยังผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับความรอดจากพระเจ้า

    คำคม

    “พระเจ้าได้ทรงประทานพระเมตตาแก่เราแล้ว
    เราสามารถยื่นมือรับเอาได้เลยด้วยความเชื่อ”

    ขุมทรัพย์ โรม 8

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงฐานะของเราเป็นลูกรักของพระเจ้า พระองค์จะปกป้อง คุ้มครอง ดูแล รักษาเราอย่างดีอย่างแน่นอน และพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# รม. 8:1) “…​การ​ลง​โทษไม่มี แก่​คน​ที่​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์” เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทรงรับโทษแทนเขาเรียบร้อยแล้ว

    ไม่ได้หมายความว่า คนที่อยู่ในพระคริสต์จะทำบาปอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร
    1คร. 13:6 “ความรักไม่​ชื่น​ชม​ยินดี​เมื่อ​มี​การ​ประพฤติ​ผิด แต่​ชื่น​ชม​ยินดี​เมื่อ​ประพฤติ​ชอบ​”
    และ ใน ฮบ. 12:6 กล่าวไว้ว่า “เพราะ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ทรง​ตี​สอน​ผู้​ที่​พระ​องค์​ทรง​รัก และ​เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​รับ​ผู้ใด​เป็น​บุตร ​พระ​องค์​ก็​ทรง​ตี​สอน​ผู้​นั้น”

    ดังนั้น จึงหมายความว่า คนที่อยู่พระคริสต์ จะไม่ต้องถูกพิพากษา ให้ตกลงในบึงไฟนรก
    แต่หากเขาดำเนินชีวิตในบาป พระบิดาผู้ทรงรักเขาก็จะทรงตีสอนเขาเพื่อให้เขากลับใจ ละทิ้งบาปนั้นเสีย

    1.@ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้รอดพ้นการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้าแล้ว
    เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เราจึงควรดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นคนชอบธรรมด้วย

    2.# การจดจ่อสนใจ​สิ่ง​ซึ่ง​เป็น​ของ​โลกนี้ จะนำไปสู่ความตาย
    แต่​การจดจ่อ​สนใจ​ใน​สิ่ง​ซึ่ง​เป็น​ของ​พระ​วิญญาณ​ จะนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข

    เพราะคนที่จดจ่อแต่การแสวงหาของในโลกนี้ เขาจะไม่สามารถทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เลย ความสุขที่เขาพยายามไขว่คว้านั้นนอกจากจะสูญไปแล้ว มันยังทำลายชีวิตและเวลาอันล้ำค่าของเขาไปอีกด้วย
    แต่สำหรับคนที่จดจ่อแสวงหาการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจะได้พบกับความสุขแท้ พบสันติสุขที่ยั่งยืนในพระเจ้า

    2.@ วันนี้ เรากำลัง ทุ่มเทเวลา ควาสามารถ และพลังที่เรามีอยู่ไปเพื่อแสวงหาสิ่งใด
    สิ่งของอนิจจังแห่งโลกนี้ หรือ ศักดิ์ศรีถาวรในสวรรคสถาน?

    3.# ต่อไปนี้เป็นคำอธิบายง่ายๆ ของข้อ 9-11
    เมื่อเราเกิดมา จิตวิญญาณของเราบาป จึงทำให้ร่างกายของเรานี้ต้องพบกับความตาย แล้วจิตวิญญาณก็จะพบกับความตายชั่วนิรันดร์

    ต่อมาเมื่อต้อนรับเชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในจิตวิญญาณของเรา จิตวิญญาณของเราจึงกลับมีชีวิต

    แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในร่างกายเดิม ซึ่งเป็นร่างกายของจิตวิญญาณเดิม(จิตวิญญาณบาป)
    ดังนั้นร่างกายนี้ในที่สุดต้องตาย
    แต่จิตวิญญาณของเราจะไม่ต้องพบกับความตาย จะพบกับชีวิตชั่วนิรันดร์
    แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานร่างกายใหม่ให้แก่เราอันเป็นร่างกายที่สมกับจิตวิญญาณที่มีชีวิตของเรานี้

    3.@ เรารู้ว่า สักวันหนึ่งร่างกายของเราต้องตายไปเหมือนกับคนอื่นๆ และจิตวิญญาณของเราจะมีชีวิตชั่วนิรันดร์ ในร่างกายใหม่
    ด้วยเหตุนี้ เป็นการไม่ฉลาดสักเพียงใดที่เรากลับพยายาม ไล่จับสิ่งของในโลกนี้ ที่อีกไม่นานก็จะสิ้นสูญไป ไล่จับสิ่งของเพื่อบำรุงบำเรอร่างกายชั่วคราวที่อีกไม่นานเราก็ต้องทิ้งไปเสียแล้ว
    จงตื่นขึ้น รู้ตัว แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีปัญญา

    4.# การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในเรานั้น เป็นสิ่งยืนยันว่า เราชอบธรรมแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผู้ชอบธรรมจึงสามารถประสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเราได้

    และยังเป็นการยืนยันว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์เรียกพระองค์ว่า “พระ​วิญญาณ​ผู้​ทรง​ให้​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า”(ข้อ 15)

    4.@ วันนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นทายาทผู้จะได้รับมรดกด้วยกันกับพระคริสต์
    อย่ายอมให้มารซาตาน หลอกลวงเรา ให้เราทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรี ไปไล่จับสิ่งของไร้ค่าแห่งโลกนี้ อันต้องถูกเผาไหม้ไปสิ้น
    เราควรดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ขณะอยู่ในโลกนี้ ด้วยการเชื่อฟัง กระทำตามใจพระบิดา ไม่ใช่ตามการเย้ายวนแห่งโลกนี้

    5.# พระเจ้าประสงค์ที่จะใช้ เหตุ​การณ์​ทุก​อย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มาประสานรวม​กัน​ เพื่อก่อ​ให้เกิดผล​ดี​แก่​เรา

    5.@ พระเจ้าทรงรักเรา เราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ใหญ่ยิ่งครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง
    ดังนั้น ให้เราเชื่อใจพระองค์ว่า เหตุการณ์ในวันนี้ ในที่สุดจะเกิดผลดีต่อชีวิตของเราอย่างแน่นอน

    6.# พระเจ้าทรงรักเราอย่างที่สุด จนกระทั่งยอมประทานพระบุตรสุดที่รักองค์เดียวของพระองค์ มาตายเพื่อช่วยเรา ในขณะที่เรายังไม่รู้จักพระองค์ อาจจะกำลังทำตัวเป็นศัตรูของพระองค์ด้วยซ้ำไป
    บัดนี้เราเป็นลูกของพระองค์ แน่นอนอย่างที่สุด พระองค์จะประทานสิ่งที่ดีเลิศให้แก่เราอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันมีอะไรมาทำให้พระเจ้าหมดรักเราได้

    6.@ ความเชื่อใจในความรักของพระเจ้า จะเป็นแรงผลักดันให้เราดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างสง่างามสมกับเป็นลูกของพระองค์

    คำคม

    “เราสมควรรักตอบพระองค์ ผู้ทรงรักเราอย่างที่สุด อย่างไร?”

    ขุมทรัพย์ โรม 7

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงการที่เราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราพ้นกฏแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งบาปจะใช้ธรรมบัญญัติเพื่อทำให้เราต้องรับการพิพากษาลงโทษ แต่เมื่อเราพ้นจากกฏของธรรมบัญญัติแล้ว บาปจึงไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไป

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ​ธรรม​บัญ​ญัติ​มี​อำ​นาจ​เหนือคน ​ก็​เฉพาะ​ตอน​ที่​เขา​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​เท่า​นั้น หากตายแล้วก็ไม่มีผลบังคับใช้กับคนนั้น เช่น เราไม่เอานักโทษผู้ถูกยิงตายแล้ว มาขังคุกอีก

    1.@ โดยการตายของพระเยซูเพื่อรับโทษบาปของเรา จึงถือได้ว่า เราได้รับโทษตายไปเรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่จำเป็นต้องรับโทษอันเนื่องจากทำผิดธรรมบัญญัติอีกต่อไป

    เราจึงรอดพ้นการพิพากษาแล้ว โดยความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์

    2.# ธรรมบัญญัติเป็นสิ่งดี แต่เนื่องจากบาปในตัวเรา จึงทำให้เราต้องตายเพราะธรรมบัญญัติเนื่องจากเราทำตามไม่ได้
    แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราถูกทำให้พ้นจากธรรมบัญญัติ แล้วนำเข้ามาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า

    2.@ ตัวอย่างเปรียบเทียบ
    พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต อยู่บนยอดหน้าผาสูงชัน ที่มนุษย์ร่วงหล่นลงมา
    มนุษย์พยายามกลับไปหาพระเจ้าแต่ไม่มีทางทำได้
    อยู่มาวันหนึ่ง น้ำแห่งธรรมบัญญัติจำนวนมหาศาลไหลเข้ามา

    หากมนุษย์ว่ายน้ำได้สำเร็จ เขาจะกลับไปหาพระเจ้าได้
    แต่มนุษย์ว่ายน้ำไม่เป็น
    ดังนั้นธรรมบัญญัติจึงทำให้มนุษย์ตาย

    แต่โดยทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ยื่นมือมาฉุดมนุษย์ขึ้นมาบนเรือที่อยู่เหนือน้ำนั้น
    คนที่ยินดีรับความช่วยเหลือจากพระองค์ ก็จะอยู่นอกเหนือกฏแห่งธรรมบัญญัติและจะกลับคืนสู่พระเจ้าได้

    3.# พระเจ้าทรงใส่มโนธรรมที่ดีไว้ในใจของมนุษย์ ลึกๆในใจของมนุษย์ทุกคนจึงอยากทำสิ่งที่ดี แต่เนื่องจากบาปที่มนุษย์มี ทำให้มนุษย์ไม่อาจทำดีได้
    ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังใน รม. 7:19
    “การ​ดี​นั้น​ซึ่ง​ข้าพ​เจ้า​ปรารถ​นา​ทำ ก็​ไม่​ได้​ทำ แต่​การ​ชั่ว​ซึ่ง​ข้าพ​เจ้า​ไม่​ปรารถ​นา​ทำ ก็​ยัง​ทำ​อยู่”

    แต่โดยพระเยซูคริสต์พระองค์อภัยบาปของเรา นำบาปไปจากชีวิตของเรา
    จึงทำให้สิ่งที่มโนธรรมปรารถนาจะทำ จึงสามารถทำได้โดยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตอยู่ภายในเรา

    3.@ โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ด้วยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

    เราไม่จำเป็นต้องทำบาปอีกต่อไป เราไม่จำเป็นต้องพ่ายแพ้บาปอีกต่อไป
    เพียงแค่ขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
    พระองค์จะทรงสอนเราและช่วยเราให้มีชัยเหนือการทดลองแห่งบาปได้

    คำคม

    “ คนที่ตายจากบาปแล้ว ก็พ้นผลของบาปและอิทธิพลของบาป ”

    ขุมทรัพย์ โรม 6

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงชีวิตของผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ว่าไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไป จึงไม่ควรดำเนินในทางบาปต่อไป แต่ควรดำเนินในทางแห่งความชอบธรรม สมกับที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ในเมื่อพระคุณปรากฏชัด เพราะบาปของเรา ดังนั้น เรา​จะ​อยู่​ใน​บาป​ต่อ​ไป​โดยไม่คิดจะกลับใจจากบาปนั้น เพื่อ​ให้​พระ​คุณ​เพิ่ม​ทวี​ขึ้นใช่หรือไม่?
    คำตอบคือ ไม่ใช่ แน่นอน
    เพราะเมื่อเรารับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็เข้าส่วนในพระองค์ ทำให้การที่พระองค์ตายบนไม้กางเขน เป็นเหมือนเราได้รับโทษเรียบร้อยแล้ว
    แต่ขณะเดียวกัน ในเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต พระเยซูพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงสถิตภายในเรา เราจึงไม่อาจนิ่งเฉยยืนอยู่ในบาปต่อไป โดยไม่คิดจะกลับใจออกมาจากบาปได้

    1.@ คนที่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต ก็พ้นโทษบาปแล้ว และไม่สามารถดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้โดยไม่รู้สึกอยากกลับใจ

    2.# ในเมื่อเราเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว
    เราก็ไม่ควร​ยก​อวัยวะ​ของ​เราให้​แก่​บาป ให้​เป็น​เครื่อง​มือทำบาปอีกต่อไป
    แต่​สมควรยกอวัยวะของเราให้แก่พระเยซู ให้พระองค์ทรงใช้เป็นเครื่องมือในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

    2.@ คนที่เป็นของพระเยซู จะใช้สิ่งที่ตนมีทำเพื่อพระเยซู ทำตามคำเรียกร้องของพระเยซู
    คนที่เป็นของโลกนี้ จะใช้สิ่งที่ตนมีทำตามเสียงร้องเรียกและยั่วยวนแห่งโลกนี้

    3.# เมื่อก่อนเราเคยเป็นทาสของบาป แล้วผลแห่งการทำตามบาปนั้น ล้วนแต่ทำให้เกิดความละอายใจ การฟ้องผิด แต่เราก็เลิกมันไม่ได้สักที
    บัดนี้เราพ้นจากการเป็นทาสของบาปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำตามบาปอีกต่อไป
    แต่เราเป็นทาสของพระคริสต์ เราจำเป็นต้องทำตามพระคริสต์
    ซึ่งการทำตามพระคริสต์นั้น ผลที่ได้ก็คือ เสรีภาพ สันติสุข ความชื่นชมยินดี

    3.@ วันนี้ เราเป็นอิสระเหนืออำนาจของบาปแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกแล้ว
    อย่าไปสมัครเป็นทาสของมันอีกเลย อย่าเดินไปในทางบาปอีก หันออกมา เดินในทางที่เราสมควรเดินไป คือเดินตามพระเยซูคริสต์องค์เจ้านายของเรา

    คำคม

    “ผู้ที่เป็นคนชอบธรรมแล้วจริงๆ
    เขาจะดำเนินชีวิตอย่างที่คนชอบธรรมเขาดำเนินกัน”

    ขุมทรัพย์ โรม 5

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึงผลของความชอบธรรม ที่เราได้มาโดยความเชื่อวางใจพระเยซูคริสต์ อาดัมนำบาปเข้ามาสู่มนุษย์ฉันใด พระเยซูก็นำเอาความชอบธรรมมาสู่มนุษย์ ผู้วางใจในพระองค์ฉันนั้น

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ
    เราสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความชื่นชมยินดีในขณะอยู่บนโลกนี้

    และชื่นชมยินดีในความหวังว่าจะได้เข้าส่วนในศักดิ์ศรีของพระเจ้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป
    ด้วยเหตุนี้ แม้ในโลกนี้เราจะประสบความยากลำบาก เราก็ยังยินดีได้

    เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเราอนุญาตให้เราพบความทุกข์ยากนี้
    ก็เพื่อจะขัดเกลาชีวิตของเราให้มีความเข้มแข็ง อดทน
    เพื่อเราสามารถเป็นพระพรแก่ผู้คนมากมายได้

    1.@ หากเราตระหนักจริงๆว่า เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว จะทำให้เรา ชื่นชมยินดีได้เสมอ ทุกเวลาและในทุกสถานการณ์

    วันนี้ หากเราไม่มีความชื่นชมยินดี เป็นได้ว่า เราลืมไปว่า เราได้เป็นคนชอบธรรม ผู้จะได้เข้าในศักดิ์ศรีของพระเจ้า ซึ่งจะนำความชื่นชมยินดีใหญ่ยิ่งมากสู่เราจนความทุกข์ทั้งสิ้นที่เรากำลังประสบนั้น ดูเหมือนช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน

    2.# รม. 5:5 “…​ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้า​ได้​หลั่ง​เข้า​สู่​จิต​ใจ​ของ​เรา โดย​ทาง​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์ ซึ่ง​พระ​องค์​ได้​ประ​ทาน​ให้​แก่​เรา​แล้ว”

    ความรักของพระเจ้า เขามาสู่เรา จนเราสัมผัสและรับรู้ได้ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
    ยิ่งเรารับการสอนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าใด เราก็ยิ่งรับรู้ความรักของพระเยซูที่มีต่อเรามากขึ้นเท่านั้น

    2.@ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับเรา พร้อมที่จะสอนเรา นำพาชีวิตของเราในทุกที่ที่เราดำเนินไป
    เราควรขอความช่วยเหลือ ขอการสอน ขอการนำจากพระองค์ ให้บ่อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    3.# ขณะเมื่อเรายังเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเยซูยังทรงรักเรา สละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา
    พระเยซูทรงรู้จักเราก่อนที่เราจะเกิดมา เมื่อ 2,000 ปีก่อน ขณะที่พระองค์กำลังเดินไปสู่ไม้กางเขน พระองค์มีชื่อของเราแต่ละคน ในใจของพระองค์แล้ว และพระองค์เต็มใจตายอย่างทรมานเพื่อเรา
    ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บัดนี้ เราได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูจะทรงช่วยเราอย่างแน่นอนในโลกนี้และเมื่อเราต้องจากโลกนี้ไป

    3.@ หากเราเชื่อจริงๆว่า พระเยซู พระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุดรักเราจนยอมตายเพื่อเรามาแล้ว
    เราจะไม่หวาดกลัว สิ่งต่างๆในโลกที่แสนแปรปรวนนี้อีกต่อไป

    4.# การกระทำบาป​ของคนๆ เดียวคืออาดัม เพียงครั้งเดียว
    ได้ทำให้บาป​ก็​ได้​แผ่​ไป​ถึง​​มนุษย์​ทุก​คน
    และบาปครอบงำชีวิตมนุษย์ทุกคนเรื่อยมา
    จึงทำให้มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ใต้อิทธิพลของความตาย

    ของขวัญจากพระเจ้า คือ พระเยซูคริสต์ ได้เข้ามาในโลก โดยการกระทำอันชอบธรรมของพระองค์ครั้งเดียว คือเชื่อฟังจนกระทั่งถึงความมรณาที่กางเขน
    ได้ทำให้ความชอบธรรมแผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคนได้
    และความชอบธรรมก็สามารถครอบครองชีวิตของมนุษย์ทุกคนได้
    จึงทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของความตายอีกต่อไป แต่กลับมีชีวิตที่แท้จริงได้

    4.@ เราติดบาปมาจากอาดัม เพราะทางกายภาพเราเป็นเชื้อสายของอาดัม

    เราติดความชอบธรรมมาจากพระเยซูได้ หากเราเชื่อวางใจในพระเยซู เพราะทางฝ่ายวิญญาณเราเป็นบุตรของพระเจ้า

    “แต่​ทุก​คน​ที่​ยอม​รับ​พระ​องค์ คือ​คน​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​นั้น พระ​องค์​ก็​จะ​ประ​ทาน​สิทธิ​ให้เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า” (ยน. 1:12)

    5.# บาปมีอยู่ในมนุษย์อยู่แล้ว
    เมื่อธรรมบัญญัติปรากฏ จึงทำให้บาปที่มนุษย์ไม่รู้นั้น ปรากฏ
    เมื่อบาปปรากฏ พระคุณที่มีอยู่ในพระเจ้าอยู่แล้ว จึงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

    บาปที่มีอยู่ในมนุษย์อยู่แล้ว ทำให้มนุษย์ต้องตาย
    พระคุณที่มีอยู่ในพระเจ้าอยู่แล้ว ทำให้มนุษย์มีชีวิต

    5.@ หากเราเลือกวางใจในพระเยซู เราจะพบชีวิต แทนความตาย

    คำคม

    “พระเยซูนำความชอบธรรมมาให้ ใครเชื่อก็รับเอา”

    ขุมทรัพย์ โรม 4

    ภาพรวม

    • บทนี้กล่าวถึง ผู้เชื่อว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัมโดยทางความเชื่อ อับราฮัมถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมโดยทางความเชืิ่อฉันใด ผู้เชื่อวางใจในพระเยซูก็ถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# รม. 4:7-8 “คน​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ทรง​ยก​การ​อธรรม​ของ​เขา​แล้ว
    และ​พระ​เจ้า​ทรง​กลบ​เกลื่อน​บาป​ของ​เขา​แล้ว ก็​เป็น​สุข
    บุค​คล​ที่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ไม่​ได้​ทรง​ถือ​โทษ​ก็​เป็น​สุข”

    คนที่เป็นสุข หรือคนที่รับพระพร ไม่ใช่คนที่ไม่ทำบาป เพราะว่าไม่มีใครเลยไม่ทำบาป
    แต่เป็นคนที่ทำบาป แล้วพระเจ้ายกโทษให้เขาแล้ว พระเจ้ากลบเกลื่อนบาปให้เขาแล้วไม่มีร่องรอยบาปนั้นแล้ว ไม่ต้องรับโทษของบาปนั้นแล้ว เขาเป็นคนที่ผิดพลาดพลั้งบาปที่พระเจ้าไม่ถือโทษเขาแล้ว
    คนประเภทนี้แหละคือผู้เป็นสุขที่แท้จริง คือผู้รับพระพรที่แท้จริง

    1.@ วันนี้ เราสามารถเป็นผู้รับพระพร สามารถเป็นผู้เป็นสุขที่แท้จริงได้ แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาเราจะผิดพลาดพลั้งบาปไปมากสักเพียงใดก็ตาม
    เพียงแค่วันนี้ เรายอมเชื่ออย่างหมดใจ เชื่ออย่างไม่สงสัยว่า
    “โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอภัยบาปให้ฉันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว และพระองค์ทรงกลบเกลื่อนผลของบาปนั้นทั้งหมดแล้วเพื่อฉัน พระเจ้าไม่ถือโทษในความผิดบาปที่ฉันได้ทำไปแล้ว”

    คุณต้องตัดสินใจเองในเรื่องนี้ ว่าจะยอมเชื่อเช่นนั้น อย่างสุดจิตสุดใจ จริงๆหรือไม่

    2.# สำหรับคนยิวแล้ว คนในโลกนี้ มี 2 ประเภท คือ คนเข้าสุหนัตซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นบุคคลพิเศษ และ คนไม่เข้าสุหนัตซึ่งพวกเขาถือว่าน่ารังเกียจ

    ใน ปฐก. 15:6 กล่าวว่า “อับ​ราม​ก็​เชื่อ​พระ​ยาห์​เวห์ ความ​เชื่อ​นั้น​พระ​องค์​ทรง​ถือ​ว่า​เป็น​ความ​ชอบ​ธรรม​แก่​ท่าน” ซึ่งคำกล่าวนี้ เกิดขึ้นก่อนที่ อับราฮัมจะเข้าสุหนัต
    นั่นคือ อับราฮัม เป็นคนชอบธรรมก่อนเข้าสุหนัต
    อับราฮัม เป็นคนไม่เข้าสุหนัตที่ชอบธรรมก่อน
    แล้วต่อมาเมื่อเขาเข้าสุหนัต เขาจึงกลายเป็นคนเข้าสุหนัตที่ชอบธรรม

    จึงสรุปได้ว่า ความชอบธรรมตามพระสัญญาที่ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมนั้น ไม่เกี่ยวกับว่าคนนั้นเข้าสุหนัต(เข้าจารีตยิว)หรือไม่
    แต่ใครก็ตามที่มีความเชื่อวางใจในพระเจ้าเหมือนที่อับราฮัมวางใจในพระเจ้า ก็สามารถรับความชอบธรรมนั้นได้

    2.@ พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์ ทรงสัญญากับอับราฮัมว่า เขาถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ
    ดังนั้น วันนี้ เราผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราจึงถูกนับว่าชอบธรรม แบบเดียวกับที่อับราฮัมถูกนับนั้น
    ดังนั้น เราผู้สมควรรับการลงโทษเพราะบาปของเรา จึงกลายมาเป็นคนที่สมควรได้รับพระพรแบบเดียวกันกับที่อับราฮัม ได้รับด้วย

    3.# รม. 4:16 “การ​เป็น​ทา​ยาท​นั้น​จึง​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​เชื่อ เพื่อ​จะ​ได้​เป็น​ตาม​พระ​คุณ เพื่อ​รับ​รอง​พระ​สัญ​ญา​นั้น​แก่​ลูก​หลาน​ของ​อับ​รา​ฮัม​ทุก​คน…”
    การเป็นทายาทผู้รับมรดกที่ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมนั้น ขึ้นกับความเชื่อ
    เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกหลานของอับราฮัมในฝ่ายวิญญาณ
    ดังนั้น คำสัญญาทั้งหมดที่สัญญากับประชากรอิสราเอลในพระคัมภีร์ จึงเป็นคำสัญญาสำหรับเราด้วย

    3.@ โดยพระคุณของพระเจ้า เราผู้เป็นคนต่างชาติไม่มีส่วนในพระสัญญาของพระเจ้า ได้มาเป็นชนชาติของพระเจ้า และได้รับพระพรตามพระสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด

    ดังนั้น วันนี้เราเป็นทายาทผู้รับมรดกแล้ว สมควรเปิดอ่านพระคำของพระเจ้า เพื่อเราจะทราบและรู้ตัวว่า อะไรบ้างที่เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานแก่เรา

    4.# พระเจ้าทรงสัญญาว่าอับราฮัมจะมีบุตร แต่เมื่ออายุเกือบ 100 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีบุตร
    ท่าน​ไม่​ได้​หวั่น​ไหว​แคลง​ใจ​ใน​พระ​สัญ​ญา​ของ​พระ​เจ้า
    แต่​ท่าน​มี​ความ​เชื่อ​มั่น​คง จึง​ถวาย​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า

    ความเชื่อแท้ ไม่แปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยภายนอก ไม่ว่าเวลาผ่านไป หรือ สถานการณ์เริ่มดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็ยังจะเชื่อมั่นคงไม่หวั่นไหวอยู่ดี

    4.@ เพราะอับราฮัมมีความเชื่อแท้ จึงเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า เขามั่นใจว่า พระเจ้าของเขาไว้ใจได้ พระเจ้าของเขาทรงสัญญา

    วันนี้ ความเชื่อของเราที่มีต่อพระสัญญาของพระเจ้าเป็นเช่นไร?
    กำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรือ กำลังลบหลู่พระเจ้า

    5.# ตอนอับราฮัมอายุประมาณ 100 ปี ​สัง​ขาร​ของ​ท่าน ซึ่ง​เปรียบ​เหมือน​ตาย​ไป​แล้ว (ข้อ 19) แต่โดยความเชื่อ กลับทำให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้น คือ อิสอัค

    ​พระ​เยซู​ผู้​ทรง​ถูก​มอบ​ให้​ถึง​ความ​ตาย แต่​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​เป็น​ขึ้น​มาจากความตาย
    ดังนั้น โดยความเขื่อวางใจในพระเยซู จึงทำให้เรากลับมีชีวิตใหม่

    นั่นคือ อับราฮัมเชื่อว่า โดยพระเจ้า เขาที่เหมือนตายแล้ว จะมีชีวิต(มีเชื้อสาย)ได้
    หากเราเชื่อว่า โดยพระเยซูคริสต์ เราที่ตายในบาปแล้ว จะมีชีวิตใหม่ได้

    “อับราฮัม​เชื่อ​มั่น​ว่า พระ​เจ้า​ทรง​สา​มารถ​ทำ​สิ่ง​ที่​ทรง​สัญ​ญา​ได้
    ด้วย​เหตุ​นี้​เอง พระ​องค์​ทรง​ถือ​ว่า​ท่าน​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม ” ( รม. 4:21-22)

    หากเราเชื่อมั่นว่า พระ​เจ้า​ทรง​สา​มารถ​ทำ​สิ่ง​ที่​ทรง​สัญ​ญา​ได้ เชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยให้เราพ้นบาปได้
    ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์ทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม พ้นบาปได้จริงๆ

    5.@ วันนี้โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ สำหรับการรอดพ้นบาปของเรา เราจึงรอดพ้นบาปได้

    คำคม

    “เราชอบธรรมได้โดยความเชื่อ
    ดังนั้นถ้าปราศจากความเชื่อเราจะชอบธรรมได้อย่างไร”

    ขุมทรัพย์ โรม 3

    ภาพรวม

    • ในบทนี้กล่าวถึง มนุษย์ทุกคนว่า ล้วนเป็นคนบาปที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพื่อให้สามารถกลับกลายเป็นคนชอบธรรมได้ ซึ่งพระเจ้าทรงประทานพระคุณแก่มนุษย์ โดยประทานความชอบธรรมให้แก่มนุษย์เปล่าๆโดยทางการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# ถึงแม้​บาง​คน​ไม่​ซื่อ​สัตย์ ความ​ไม่​ซื่อ​สัตย์​ของ​เขา​นั้น ก็จะไม่​ทำ​ให้​ความ​ซื่อ​สัตย์​ของ​พระ​เจ้า​เป็น​โม​ฆะ​ไป

    ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นอย่างไร พระเจ้าก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาของพระองค์อยู่ดี

    1.@ ไม่ว่าเราจะผิดพลาดพลั้งไปสักเพียงใด หากวันนี้เรากลับมาหาพระเจ้า กลับใจเสียใหม่ สารภาพความผิดต่อพระองค์ พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อรักษาสัญญาของพระองค์ ให้อภัยความบาปผิดทั้งสิ้นของเรา

    2.# ไม่​มี​ผู้​ใด​เป็น​คน​ชอบ​ธรรม​สัก​คน​เดียวไม่​มี​เลย ทุกคนล้วนทำบาป หลงผิด ​เดิน​ไปในทางแห่ง​ความ​พินาศ​และ​เต็มไปด้วยความ​ทุกข์ ห่างไกลจาก​ทาง​แห่ง​สันติ​สุข ไม่คิดที่จะขอบคุณพระผู้สร้างตนหรือยำเกรงพระองค์

    ดังนั้น ทุกคนเหมือนน้ำท่วมปากไม่อาจเถียงได้ และจำต้องตก​อยู่​ใต้​การ​พิพาก​ษา​ของ​พระ​เจ้า

    2.@ เราควรตระหนักว่า แท้จริงแล้วเราไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นๆเลย บางคนที่เราคิดว่าเขาบาปชั่วมากที่ทำเช่นนั้น ความจริงแล้วเราเองก็เต็มไปด้วยความบาปชั่วเช่นเดียวกับเขา เพียงแค่บาปนั้นยังไม่ปรากฏให้คนอื่นเห็นได้ชัดเจน เท่านั้นเอง

    เราจึงควรถ่อมใจลงต่อจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และซาบซึ้งพระคุณของพระองค์ที่ทรงโปรดยกบาปของเราและทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น(1ยน.1:9)

    3.# ​ธรรม​บัญ​ญัติ​นั้น​ทำ​ให้​เรา​รู้​จัก​บาป
    เราเป็นเหมือน คนที่ขับรถส่ายไปส่ายมาลงข้างทางแล้วกลับขึ้นมาแล้วก็ลงไปอีกทาง แบบนี้ไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ตัวว่ากำลังขับรถผิดวิธี
    จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้รู้จักธรรมบัญญัติ ที่เป็นเหมือนมีเส้นขอบถนนปรากฏขึ้นมา ทีนี้เวลาเรา ขับรถลงข้างทางอีกแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเรากำลังขับผิดวิธี
    แต่อย่างไรก็ดี เราก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ต่อให้มีเส้นหรือไม่มีเส้น เราก็ยังคงขับส่ายไปส่ายมาลงข้างทางตลอดอยู่ดี

    3.@ ธรรมบัญญัติเป็นสิ่งที่ดี และทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำบาป กำลังทำผิดต่อพระเจ้า
    และเพื่อให้เรารู้จัวว่า เราไม่มีปัญญาทำสิ่งที่ชอบธรรมได้ด้วยตัวเราเอง
    เพื่อเราจะถ่อมใจลง ยอมรับความอ่อนแอของตน แล้วร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตา

    4.# ​เพราะว่า​พระเจ้าทรง​ทราบว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตนเองได้
    จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพื่อจะสามารถพ้นบาป และกลายเป็นผู้ชอบธรรม
    พระเจ้าจึงได้ประทานพระคุณแก่มนุษย์ ด้วยการมอบความชอบธรรมให้แก่มนุษย์โดยไม่คิดมูลค่า โดยมนุษย์เพียงแต่ยื่นมืออกรับเอาด้วยการ​เชื่อวางใจ​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ ก็จะได้รับความชอบธรรมของพระเจ้านี้ได้

    ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสามารถอวดในการกระทำของตนได้ว่า ฉันได้ทำสิ่งที่ชอบธรรมมากกว่าคนอื่น เพราะความชอบธรรมที่ผู้เชื่อคนใดๆมีนั้น ไม่ใช่เขาทำเองเลย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาเปล่าๆจากพระเจ้าทั้งสิ้น

    4.@ วันนี้ หากเราสามารถทำสิ่งดี สิ่งชอบธรรมได้มากกว่าผู้อื่นบ้างเล็กน้อย
    เราไม่ควรจะยโส หรือโอ้อวด ในสิ่งที่เราได้ทำนั้น และยิ่งไม่สมควรดูถูกดูหมิ่นคนที่ทำไม่ได้เท่าเรา
    เพราะว่า ทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ในวันนี้ ล้วยแต่พระคุณ พระเมตตาของพระเจ้าที่ประทานแก่เรา และทรงช่วยเราทำให้ได้ทั้งสิ้น
    ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือ ขอบพระคุณพระเจ้าด้วยใจถ่อม และ หนุนใจผู้อื่นให้พึ่งพาพระเจ้า เพื่อพระเจ้าเองจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงการกระทำของเขา

    คำคม

    “เราไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเลย
    เราเป็นคนบาปที่จำเป็นต้องรับพระเมตตาจากพระเจ้าเหมือนคนอื่นๆ นั่นเอง”

    ขุมทรัพย์ โรม 2

    ภาพรวม

    • ในบทนี้กล่าวถึง การพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า โดยใช้หลักของมโนธรรม หลักของธรรมบัญญัติ และหลักของข่าวประเสริฐ

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# เปาโลชี้ให้เห็นว่า เราทุกคน ล้วนเป็นคนที่สมควรรับการลงโทษจากพระเจ้า
    ดังนั้นเราไม่มีสิทธิไปกล่าวโทษ หรือตัดสินคนอื่น
    แต่ควรพิจารณาตนเองแล้วกลับใจ

    1.@ วันนี้เมื่อเราเห็นคนอื่นทำผิด ทำบาป อย่างหนึ่งอย่างใด สิ่งแรกๆที่เราควรทำคือ ทบทวนตนเองว่า เราเองก็ทำผิดเหมือนอย่างพวกเขาในบางแง่มุมหรือไม่
    ถ้าพบว่ามี เราควรรีบกลับใจใหม่โดยทันที
    ไม่ใช่ รีบไปตัดสินหรือกล่าวโทษผู้อื่นในทันใด

    2.# ​พระ​เจ้า​ไม่​ทรง​เห็น​แก่​หน้า​ใคร​เลย (รม. 2:11) พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาผู้ยุติธรรม
    ตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า ทุกคนที่ทำบาปต้องตาย และ คนชอบธรรมจะได้รับพระพร
    ตามพันธสัญญาใหม่ มนุษย์สามารถยอมให้พระเยซูตายแทนได้ แล้วพระเยซูจะประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่ผู้้นั้น คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์

    เพราะว่า พระเจ้าไม่เห็นแก่หน้าใครเลย
    ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าคนนั้นไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซูก็สามารถทำได้ แต่คนนั้นต้องรับผิดชอบบาปของตนตามการกระทำของตน

    2.@ วันนี้ เราผู้เชื่อวางใจในพระเยซู เราจึงรอดพ้นการพิพากษาแล้ว เนื่องจากพระเยซูเป็นตัวแทนของเรา รับการพิพากษาแทนเราไปแล้ว

    ขณะเดียวกัน ผู้คนมากมายที่เรารู้จัก ยังไม่ได้รับความรอดในพระเยซู พวกเขาจำเป็นต้องทราบข่าวแสนประเสริฐนี้ ถ้าเราไม่ไปบอกพวกเขา เราจะรอให้ใครเป็นคนบอก?

    3.# เมื่อมนุษย์คนใดไม่รู้จักธรรมบัญญัติของพระเจ้า เขาจึงไม่รู้ว่าเขาละเมิดธรรมบัญญัติหรือไม่ แต่ก็มีมโนธรรมที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจของเขา รู้ว่าอะไรดีและอะไรชั่ว
    ดังนั้น คนนั้นจะถูกพิพากษาตามกฏแห่งมโนธรรมในใจของเขา

    แต่บางคนได้รู้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า(ซึ่งเหนือกว่ามโนธรรม)แล้ว เขาจึงรู้ว่าอะไรที่ละเมิดธรรมบัญญัติ และอะไรทำให้รอดพ้นการพิพากษาได้
    ดังนั้น คนนั้นจะถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้น

    และคนที่ได้รู้ข่าวประเสริฐ(ซึ่งเหนือกว่าธรรมบัญญัติ) เขาจึงรู้ว่าอะไรทำให้รอดพ้นการพิพากษา
    ดังนั้น คนนั้นจะถูกตัดสินตามกฏแห่งข่าวประเสริฐ [นั่นคือ ผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จะรอดพ้นการพิพากษา]

    3.@ พระเจ้าทรงยุติธรรม และเปี่ยมด้วยพระเมตตา
    พระเจ้าปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นการพิพากษาอันเข้มงวด พระองค์จึงทรงประทานความเมตตาแก่มนุษย์ด้วยการให้ทางออกแก่มนุษย์
    แต่หากมนุษย์คนใดปฏิเสธพระเมตตาของพระเจ้า สำหรับเขาก็จะพบแต่การพิพากษาอันเข้มงวดของพระเจ้าเท่านั้น

    วันนี้ เรารอดได้ ไม่ใช่เพราะความดีของเรา แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์

    4.# ใน รม. 2:21 กล่าวว่า “…​ท่าน​ซึ่ง​เป็น​ผู้​สอน​คน​อื่น​จะ​ไม่​สอน​ตัว​เอง​หรือ? …”
    การสอนคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่การทำตามในสิ่งที่ตนเองสอนประเสริฐยิ่งกว่า

    4.@ เราควรคอยสำรวจตัวเราอยู่เสมอว่า เราเป็นแค่ผู้พูด ผู้สอน หรือ ผู้แชร์ พระคำของพระเจ้าเท่านั้น หรือเป็นผู้ที่ประพฤติตามพระคำตอนนั้นๆด้วย

    5.# รม. 2:24 เพราะ​พระ​คัม​ภีร์​เขียน​ไว้​ว่า “พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​เป็น​ที่​ดู​หมิ่น​ท่าม​กลาง​คน​ต่าง​ชาติ​ก็​เพราะ​พวก​ท่าน”
    หากเราเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ดำเนินชีวิตเหมือนลูกของมาร เรากำลังทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูถูกดูหมิ่น

    5.@ กลับใจเสียใหม่ ด่วน !!! ก่อนจะสายเกินไป

    6.# รม. 2:28-29 เพราะ​ว่า​ยิว​แท้ ไม่​ใช่​คน​เป็น​ยิว​แต่​ภาย​นอก​เท่า​นั้น … คน​เป็น​ยิว​แท้ คือ​คน​ที่​เป็น​ยิว​ภาย​ใน …ตาม​พระ​วิญ​ญาณ​ไม่​ใช่​ตาม​ตัว​บท​บัญ​ญัติ คน​อย่าง​นั้น​ไม่​ได้​รับ​การ​ยก​ย่อง​จาก​มนุษย์ แต่​ได้​รับ​จาก​พระ​เจ้า”

    คริสเตียนแท้ ไม่ใช่ดูกันที่การไปร่วมพิธีกรรมของคริสตศาสนา แต่ ดูกันที่มีลักษณะของพระคริสต์ในชีวิตของเขาหรือไม่

    คริสเตียนแท้ อาจจะไม่เป็นที่ยกย่องหรือชื่นชมจากมนุษย์ แต่ที่แน่ๆ เขาจะได้รับการยกย่องและชื่นชมจากพระเจ้าของเขา

    6.@ วันนี้ เราเป็นคริสเตียนแท้ หรือเป็นเพียง คริสตศาสนิกชน ดูจากการสำแดงลักษณะของพระคริสต์ ใน ชีวิต ในคำพูด ในการกระทำ ของเรา ทั้งต่อหน้าและลับหลังมนุษย์

    หากเราเป็นผู้เชื่อ ที่ทำตัวเป็นแค่คริสตศาสนิกชน แต่ไม่เหมือนคริสเตียนแท้
    จงรีบกลับใจเสียใหม่ สารภาพต่อพระเยซู รับการอภัย แล้วขอพระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราใหม่ ในวันนี้

    คำคม

    “พระเจ้ามีทั้งความเข้มงวดและพระเมตตา
    ขึ้นกับว่าเราอยากพบกับพระเจ้าในพระลักษณะใด”

    ขุมทรัพย์ โรม 1

    ภาพรวม

    • พระธรรมโรม เป็นจดหมายที่เปาโลเขียนถึงพี่น้องคริสเตียนในกรุงโรม ขณะที่เขียนเปาโลยังไม่เคยไปกรุงโรมมาก่อน แต่ก็มีพี่น้องหลายคนที่เปาโลรู้จักอาศัยอยู่ในกรุงโรม
    • จดหมายฉบับนี้ ได้มี​​อิทธิพล​​ต่อผู้นำคริสเตียนคนสำคัญๆมากมายตลอดประวัติคริสตจักร ​เช่น ​ออกัส​ติน ​(​ค.ศ. ​386​) ​มาร์​ติน ​ลู​เธอร์ ​(​ค.ศ. ​1513​) ​จอห์น ​เวส​เลย์ ​(​ค.ศ. ​1738​) ​
    • ในบทแรกนี้ เปาโลกล่าวทักทายแล้วบอกว่าเขาปรารถนาจะแวะมาเยี่ยมพี่น้องที่กรุงโรม แล้วก็พูดถึงข่าวประเสริฐว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า และพูดถึงความชั่วร้ายของมนุษย์

    # แนวคิด

    @ การประยุกต์ใช้

    1# เปาโลพูดถึงวัตถุประสงค์ของการประกาศข่าวประเสริฐ ไว้ใน รม. 1:5 ว่า ​ประ​กาศ​เพื่อให้คนทั้งปวง​วาง​ใจ​และ​เชื่อ​ฟัง
    ข่าวประเสริฐจะมีผลช่วยให้ผู้ที่ได้ยินรอดพ้นนรก เข้าสู่สวรรค์ ก็ต่อเมื่อ คนที่รับฟังนั้น วางใจในพระเยซูคริสต์ และเชื่อฟังพระองค์

    1.@ ทุกคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์จริงๆ คนนั้นจะเชื่อฟังพระองค์ เพราะไว้ใจว่าสิ่งที่พระเยซูบอกให้ทำนั้นพระองค์รักเราจริงๆและสิ่งนั้นจะเกิดดีต่อเราจริงๆ

    คนที่ไม่เชื่อฟัง เพราะเขาคิดว่า การทำอย่างแบบหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกับที่พระเยซูบอกไว้ จะนำความสุข ความชื่นใจ ความสำเร็จ การรอดพ้นปัญหา มาสู่ชีวิตของเขา มากกว่าการทำตามที่พระเยซูบอก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ไว้วางใจในพระเยซูนั่นเอง

    2.# ใน รม. 1:14 เปาโลบอกว่า เขาเป็นหนี้​คนทั้งปวง คือเขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบในการประกาศข่าวประเสริฐแก่คนทั้งปวง เพราะเขาตระหนักว่า พระเยซูทรงประทานความรอดแก่เขาแล้ว และพระองค์ทรงมอบหมายให้เขา บอกเรื่องความรอดนี้ให้แก่คนอื่นๆต่อไป

    ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ จึงทำให้เปาโลทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ

    2.@ พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดพ้นบาปแล้ว ด้วยการจ่ายราคาแสนแพงคือชีวิตของพระองค์เองเพื่อช่วยเรา
    บัดนี้พระผู้ช่วยให้รอดของเรา มอบหมายให้เรานำข่าวประเสริฐเรื่องความรอดนี้ ไปบอกแก่คนอื่นๆต่อๆไป

    เราจะตอบสนองอย่างไรต่อการมอบหมายที่พระองค์มอบแก่เรานี้?

    3.# ใน รม. 1:16เปาโลกล่าวว่า เขา​ไม่​มี​ความ​ละอายใน​เรื่อง​ข่าว​ประ​เสริฐ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ​ สำหรับเขาแล้ว ​ข่าว​ประ​เสริฐ​​เป็น​ฤทธา​นุภาพ​ของ​พระ​เจ้า ที่สามารถช่วย​ทุก​คน​ที่​เชื่อ​ได้​รับ​ความ​รอดได้

    ดังนั้นแม้คนอื่นๆจะดูถูกว่า เรื่องข่าวประเสริฐเป็นเรื่องโง่เขลา ไร้สาระ(1คร. 1:18 ) แต่เขารู้ดีและเชื่อมั่นว่า ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดชของพระ