ภาพรวม
- ในบทนี้ อ.เปาโลพูดถึงผู้เชื่อว่ามีเสรีภาพในพระวิญญาณ ไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และมีสิทธิเลือกไม่อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1# โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่ พ้นทาส เป็นไทแล้ว
เราควรจะตั้งมั่นในเสรีภาพนั้น ไม่ถอยหลังกลับไปดำเนินชีวิตเป็นทาสของบาปหรือของธรรมบัญญัติอีก
1.@ วันนี้ เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรน หรือพยายามทำอะไร เพื่อให้เราพ้นบาป เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรมอีกต่อไป เพราะพระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่เราจะยึดมั่นในความเชื่อว่าเราได้รับแล้วจริงๆ โดยความเชื่อนี้จะนำให้เราดำเนินชีวิตสมกับเป็นคนที่เป็นคนชอบธรรมแล้ว
2.# ใน กท. 5:4 อ.เปาโล หากเราพยายามจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการพยายามทำตามธรรมบัญญัติ เราก็หล่นจากพระคุณไปเสียแล้ว และถูกตัดขาดจากพระคริสต์
ถ้าพยายามด้วยตนเอง จะหล่นจากพระคุณ
ต้องถ่อมตัวลง ยอมรับความจริงว่าเราไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง แล้วรับพระคุณของพระเจ้าด้วยความเชื่อ
2.@ คริสเตียนไม่ควรพยายามทำตัวเป็นคนดี
แต่ควรขอพระเจ้าเปลี่ยนจิตใจภายในของเราให้เป็นคนดี แล้วจะสะท้อนออกมาเป็นการทำดี
3.# กท. 5:5 “…โดยพระวิญญาณและความเชื่อ เราก็รอคอยความชอบธรรมที่เราหวังว่าจะได้รับ”
ชึ้ให้เห็นว่า ความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ยังไม่ได้เกิดขึ้นกัยเราในวันนี้
วันนี้เราชอบธรรมทางกฏหมายเรียบร้อยแล้ว(ทางนิตินัย)
แต่การดำเนินชีวิตของเรา(ทางพฤตินัย)ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด
เรากำลังรอคอยวันนั้น วันที่เราเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่โดยสมบูรณ์
การรอคอยนี้ อาศัย พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในเรา สอนเรา นำเรา เราจึงมั่นใจว่า ในวันสุดท้ายพระองค์จะเปลี่ยนแปลงเราใหม่ เป็นกายใหม่เหมือนที่พระองค์ทรงกระทำกับพระเยซูคริสต์
และการรอคอยนี้ อาศัย ความเชื่อ แม้เรายังไม่เห็น แต่โดยความเชื่อเราก็มั่นใจในความหวังว่าจะรับการเปลี่ยนแปลงนี้
3.@ วันนี้ เราเป็นคนชอบธรรมแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์
แต่พฤติกรรมของเรา หลายอย่าง ยังห่างไกลกับสิ่งที่คนชอบธรรมเขาประพฤติกัน
ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงเรา ในวันนี้
เพื่อให้ชีวิตของเราสมกับเป็นคนชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
(อย่างน้อยก็ใกล้เคียงขึ้นอีกหน่อย)
เราผู้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว จึงสมควรดำเนินชีวิตตามการสอนและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
4.# ใน กท. 5:6 ชี้ให้เห็นว่า สำหรับคนที่ผู้อยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น การกระทำตามพิธีกรรมของศาสนาไม่สำคัญอะไรเลย แต่ความเชื่อซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำด้วยความรักนั้นสำคัญ
4.@ สิ่งที่สำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า คือ ความเชื่อ ซึ่งความเชื่อแท้จะแสดงออกเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความรัก
5.# ใน กท. 5:8 ชี้ให้เห็นว่า การชักชวนใดๆก็ตาม ที่ชวนให้เราละทิ้งความจริงแห่งข่าวประเสริฐ การชักชวนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า
5.@ วิธีแยกแยะวิธีหนึ่ง เพื่อให้รู้ว่า คำสอนใดไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่ๆก็คือ ถ้าคำสอนใดบิดเบือนความจริงในข่าวประเสริฐ มั่นใจได้เลยว่าคำสอนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากมาร
6.# กท. 5:9 “เชื้อเพียงเล็กน้อยย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน”
หากเราปล่อยปละละเลย บาปโดยไม่จัดการใดๆกับมัน แม้มันจะเป็นบาปเพียงเล็กน้อย
ในที่สุดมันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่ชีวิตได้
6.@ เมื่อรู้ตัวแล้ว อย่ารอช้า จงรีบกลับใจในทันที
7.# ใน กท. 5:13 อธิบายว่า เราได้รับเสรีภาพโดยทางพระเยซูคริสต์
เราไม่ควรใช้เสรีภาพเพื่อทำสิ่งที่พระเยซูเกลียด คือ ทำบาป
แต่ควรใช้เสรีภาพนั้นเพื่อทำสิ่งที่พระเยซูชื่นใจ คือ รับใช้กันและกันด้วยความรัก
7.@ วันนี้ พระเยซูประทานเสรีภาพให้แก่เราแล้ว ที่จะไม่ต้องถูกฟ้องผิดเมื่อผิดพลาดพลั้งบาป
เราสมควรสมนึกพระคุณของพระองค์ ใช้พลังที่ได้จากการมีเสรีภาพนี้ ทำเพื่อพระเจ้า
โดยการปรนนิบัติลูกของพระองค์ด้วยความรัก
8.# กท. 5:14 “…ธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
ถ้าเรารักเพื่อนบ้านจริงๆ เราก็จะไม่ทำผิดธรรมบัญญัติเลย เราจะไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน และ เราจะไม่ทำสิ่งใดให้เพื่อนบ้านสะดุด
8.@ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซู ก็มีเสรีภาพ พ้นจากกฏของบาปและธรรมบัญญัติ และเขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในเขา
ดังนั้นโดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะทรงช่วยให้เขารักเพื่อนบ้านได้อย่างจริงใจ จึงเป็นผลให้ เขาสามารถทำตามธรรมบัญญัติได้อย่างครบถ้วน
9.# กท. 5:15 “…ถ้าท่านกัดและกินเนื้อกันและกัน จงระวังให้ดี ท่านจะย่อยยับไปด้วยกัน”
9.@ หากเรารักกัน เราจะได้รับพระพรร่วมกัน
หากเรามัวแค่หาช่อง กล่าวโทษ โจมตีกันและกัน เกรงว่าจะตกที่นั่งลำบากไปตามๆกัน
ถ้าเขาทำผิดกับเรา แล้วไม่ยอมกลับใจ เขาจะโดนจัดการ แต่เราจะได้รับพระพร
แต่ ถ้าเขาทำผิดกับเรา แล้วไม่ยอมกลับใจ เราก็เลยทำผิดกับเขาบ้าง แบบนี้จะโดนทั้งคู่
10.# กท. 5:17 “…ความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน …”
ในชีวิตของผู้เชื่อมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ เนื้อหนัง อยู่ภายใน
ทั้งสองต่อสู้กัน ไม่ได้หมายความว่า เนื้อหนังเก่งเท่าพระวิญญาณ จึงสู้พระวิญญาณได้
แต่หมายถึง ในแต่ละสถานการณ์ของชีวิตนั้น เราจะเลือกเชื่อฟังใครมากกว่ากัน
เมื่อเราเลือกเชื่อฟังพระวิญญาณ เราก็ไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ(ข้อ18) และจะไม่ทำตามเนื้อหนัง(ข้อ16)
และเมื่อเราเชื่อฟังพระวิญญาณ ผลของพระวิญญาณก็จะปรากฏในชีวิตของเรา ซึ่งผลเหล่านั้น ไม่ผิดธรรมบัญญัติเลย(ข้อ23)
แต่ถ้าเราเลือกเชื่อฟังเนื้อหนัง เราก็กลับไปอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และไม่เดินทางพระวิญญาณ
ผลของเนื้อหนังก็จะปรากฏในชีวิตของเรา ซึ่งผลเหล่านั้นทั้งหมดล้วนผิดธรรมบัญญัติ(ข้อ19-21)
แต่เราทั้งหลายผู้เชื่อวางใจในพระเยซู พระเยซูได้เป็นตัวแทนของเรารับโทษบาปถูกตรึงตายที่กางเขนแล้ว นั่นแสดงว่า เนื้อหนังของเราก็ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนร่วมกับพระคริสต์แล้ว เนื้อหนังหมดฤทธิ์แล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำตามเนื้อหนังอีกต่อไป
เรามีชีวิตใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ ดังนั้น “ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย” กท. 5:25
10.@ เราผู้อยู่ในพระคริสต์ บางครั้งเนื้อหนังหรือตัวเก่าของเรา อาจเรียกร้องให้เราทำบางอย่างตามประสงค์ของมัน แต่เราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังมันอีกต่อไป
เรามีชีวิตใหม่โดยพระวิญญาณแล้ว ดังนั้นเราจะดำเนินชีวิตใหม่ตามการสอน การนำของพระวิญญาณ และเมื่อเป็นเช่นนั้นการงานของเนื้อหนังก็จะไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราอีกต่อไป
สรุปง่ายๆ “จะทำอะไรปรึกษาพระวิญญาณก่อนเสมอ”
คำคม
“เกาะติดพระวิญญาณ การงานเนื้อหนังจะถูกขจัดออกไป”