ภาพรวม
- ในบทนี้ อ.เปาโล สอนคริสเตียนโคโลสีให้ดำเนินชีวิตใหม่ในพระเจ้า และทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดโดยเห็นแก่พระเจ้า
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1# ใน คส. 3:1-2 ในเมื่อเราเป็นขึ้นมามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ควรดำเนินชีวิตแบบคนใหม่ โดยแสวงหาและเอาใจใส่ สิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก
1.@ วันนี้ เราใช้เวลาและพลังงาน ในการแสวงหาและเอาใจใส่ กับสิ่งของในโลกนี้มากเพียงใด?
เราเหลือเศษเวลากี่นาทีต่อวัน ในการแสวงหาและเอาใจใส่ สิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน?
ได้เวลาแล้วที่ คนที่เป็นขึ้นมาจากความตายอย่างเรา จะดำเนินชีวิตให้สมกับที่ได้เป็นขึ้นมาแล้ว
2.# ใน คส. 3:5 กล่าวว่า การล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพนั้น จะนำพระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา
เมื่อก่อนเราเคยดำเนินชีวิต แบบนำการลงโทษของพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิต
บัดนี้เรามีชีวิตใหม่แล้ว จึงควรละทิ้งความคิดที่อยากจะทำเช่นนั้นเสีย
รวมทั้งทิ้งนิสัยเก่าๆ ได้แก่ การโกรธ การโมโหร้าย การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย การสาปแช่ง การพูดคำหยาบ(ข้อ8) และการพูดโกหก (ข้อ9)
แต่รับนิสัยใหม่ ที่พระเจ้ากำลังทรงสร้างขึ้นใหม่ในเรา โดยเมื่อเรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น นิสัยใหม่ก็ยิ่งพัฒนาขึ้น(ข้อ10)
เพราะยิ่งรู้จักพระเจ้า เราก็ยังยิ่งรู้ตัวว่า เราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นผู้ที่บริสุทธิ์และเป็นผู้ที่ทรงรัก
แล้วโดยการรู้จักพระเจ้า เราก็จะได้รับการสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนนาน(ข้อ12)
2.@ วันนี้ เราเป็นคนใหม่แล้ว เราควรดำเนินชีวิตใหม่ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสมควรดำเนินชีวิตอย่างลูกของพระเจ้า ไม่ใช่อย่างลูกของมาร
ยิ่งเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า เราก็จะยิ่งรู้จักพระองค์ และรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจภายในของเราให้จำเริญขึ้นมากขึ้นทุกที
น่าเสียดายที่มีคริสเตียนมากมาย พยายามอย่างสุดกำลังที่จะเป็นคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่พวกเขาละเลยที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์
พวกเขาลืมไปว่า ไม่มีใครสามารถทำตัวถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ โดยปราศจากการช่วยเหลือจากพระเจ้า
“… ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเรา…” ยน. 15:4
3.# ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า สมควรทำตัวแบบเดียวกับพระเจ้า คือ อดทนต่อผู้ทำผิด และให้อภัยแก่เขาเหมือนที่พระเจ้าทรงให้อภัยเรา (ข้อ13)
3.@ พระเจ้าชอบให้เรา อดทนและให้อภัยผู้อื่น
วันนี้ เราได้ทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยแล้วหรือยัง?
4.# คส.3:14 “…ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์…”
การกระทำใดๆก็ตามที่มีความรักแท้เป็นแรงบันดาลใจ จะได้ผลออกมาอย่างดี
แม้ผลออกมาไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยท่าทีแห่งความรักที่ทำนั้น ทำให้สิ่งที่ทำมีค่าอย่างยิ่ง
และโดยความรักนั้นจะนำการพัฒนาไปสู่การกระทำที่สมบูรณ์
4.@ สิ่งที่เราทำในวันนี้ เราทำด้วยความรักที่มีต่อใคร?
ต่อตัวเอง หรือ ต่อพระเจ้า ?
จงทำทุกสิ่งด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า ซึ่งจะไหลล้นออกมาเป็นการกระทำด้วยความรักต่อพี่น้อง และคนอื่นๆ
5.# ใน คส. 3:15-17 สอนเราว่า เราควรจะ
– ให้สันติสุขของพระคริสต์ครองใจของเราอยู่เสมอ
– มีใจขอบพระคุณทุกเวลา
– ให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์
– สั่งสอนและเตือนสติกันและกัน
– ร้องนมัสการและขอบพระคุณพระเจ้าบ่อยๆ
– ทำทุกสิ่ง ทั้งทางวาจาและการประพฤติ โดยเห็นแก่พระเยซู เป็นหลัก
– ขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา โดยทางพระเยซู อยู่เรื่อยไป
5.@ เราควรให้พระคริสต์ทรงครองจิตใจ ทรงควบคุมคำพูด และทรงนำการกระทำของเราอยู่ตลอดเวลา เสมอไป
6.# พระคัมภีร์ สอนท่าทีในการดำเนินชีวิตดังนี้
– ภรรยา จงยอมฟังสามีของตน
– สามี จงรักภรรยาของตน และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง
– บุตร จงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง
– บิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ
– ทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตนทุกอย่าง ด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
นั่นคือ
ไม่ว่าจะทำอะไร จงทำเหมือนทำถวายพระเจ้า ทำอย่างเต็มใจ
แล้วทุกอย่างที่ทำก็จะได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า เพราะสิ่งเหล่านั้นจะถูกนับว่าเป็นการปรนนิบัติพระคริสต์
6.@ วันนี้ ไม่ว่าเราเป็นใคร อยู่ในฐานะใด หรือกำลังทำอะไร เราสามารถรับใช้พระเจ้าได้ทั้งสิ้น
ด้วยการทำสิ่งที่เราต้องทำนั้นๆ อย่างเต็มใจ เพราะเห็นแก่พระเยซู
คำคม
“ ทุกอย่างที่เราทำ เพราะเห็นแก่พระเยซู เป็นการรับใช้พระเยซู ”