ภาพรวม
- ในบทนี้เป็นคำอำลาของอ.เปาโล เป็นบทสุดท้ายของจดหมายฝากฉบับสุดท้ายที่อ.เปาโลเขียนถึงทิโมธีและคริสเตียนทั้งหลาย อ.เปาโลภาคภูมิใจในการทุ่มเททั้งชีวตเพื่อการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า และท่านรู้ตัวว่าอีกไม่นานท่านกำลังจะไปรับบำเหน็จรางวัลของท่านแล้ว
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1# ใน 2ทธ. 4:2-5 อ.เปาโล ย้ำเตือนทิโมธี ให้ประกาศพระวจนะอย่างขะมักเขม้น อยู่เสมอ โดยพยายามชักชวน ตักเตือน หนุนใจ สั่งสอนคนทั้งหลาย ด้วยความอดทน
เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ
ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น ทิโมธีต้องหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง และอดทนต่อความทุกข์ยากต่างๆ
แล้วทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์อย่างสัตย์ซื่อ
และทำพันธกิจที่ได้รับมอบหมายให้ครบบริบูรณ์
1.@ ในสมัยที่คนเบื่อหน่าย ไม่อยากฟังความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า
เรายิ่งต้องประกาศ สั่งสอนพระคำของพระเจ้า มากยิ่งขึ้น อย่างสัตย์ซื่อและอดทน
2.# ใน 2ทธ. 4:3 “เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน”
ในยุคสมัยก่อน ผู้เรียนจะเรียนตามที่ผู้สอนปรารถนาจะสอน
แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน คนเรียนจะเลือกเรียนตามที่ตนปรารถนาจะเรียน ผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
2.@ เหตุการณ์ต่างๆในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นว่า เรากำลังอยู่ในยุคสุดท้ายแล้วจริงๆ
3.# ใน 2ทธ. 4:6-8 อ.เปาโลได้บอกกับทิโมธีว่า อ.เปาโลใกล้ถึงเวลาที่จะถูกประหารชีวิตเพราะเหตุความเชื่อในพระคริสต์แล้ว อ.เปาโลรู้สึกว่าที่ผ่านมาได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว และได้รักษาความเชื่อไว้จนถึงบั้นปลายของชีวิตแล้ว
ดังนั้นเมื่ออ.เปาโลจากโลกนี้ไป ท่านจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน
3.@ อ.เปาโลใช้ชีวิตที่มีอยู่ในการทุ่มเทรับใช้พระเจ้า
พอบั้นปลายของชีวิตมาถึง เมื่อเขามองย้อนกลับไปจึงไม่เสียใจในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา
วันนี้ เราทุ่มเทในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ามากเพียงใด?
4.# ใน 2ทธ. 4:10 กล่าวว่า ”เดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว…”(ฉบับ1971)
เดมาส เคยเป็นเพื่อร่วมกับใช้กับอ.เปาโล(คส. 4:14 , ฟม.1:24) แต่ในที่สุดเขากลับติดกับดัก การยั่วยวนแห่งโลกนี้ แล้วละทิ้งอ.เปาโล ติดตามค่านิยมของโลกไป
4.@ แม้คนที่ร่วมรับใช้ในงานประกาศที่ยิ่งใหญ่อย่างเดมาส หากไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิตก็ยังหลงตามค่านิยมของโลกไป
ดังนั้นเราเองก็ควรระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ติดสนิทกับพระเจ้าเสมอ ไม่จดจ่อหรือใส่ใจกับสิ่งยั่วยวนแห่งโลกนี้
5.# ใน 2ทธ. 4:11 อ.เปาโลบอกให้ทิโมธีไปตามมาระโกและพาเขามาหาอ.เปาโลด้วย เพราะมาระโกช่วยปรนนิบัติอ.เปาโลได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ ใน กจ. 15:37-39 อ.เปาโลเคยมองว่ามาระโกเป็นคนไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะเดินทางไปประกาศกับอ.เปาโลไม่กี่วัน ก็หนีกลับบ้านแล้ว
แต่บารนาบัส ยังเชื่อในตัวมาระโก ยังให้โอกาสมาระโกไปร่วมรับใช้กับเขาด้วย
จนในที่สุดมาระโกได้กลายเป็นผู้รับใช้พระเจ้าคนสำคัญที่อ.เปาโล ปรารถนาให้เขามาปรนนิบัติในบั้นปลายของชีวิต นอกจากนี้มาระโกยังได้เป็นผู้เขียนพระธรรมมาระโกในเวลาต่อมาอีกด้วย
5.@ วันนี้ สำหรับบางคน อาจดูเหมือน ไม่เอาไหน ไม่เข้าท่า ไม่เป็นคนฝ่ายวิญญาณ
แต่หากเรายังคงรักเขา อดทนกับเขา ให้โอกาสเขา
ใครจะไปรู้ สักวันเขาอาจจะเป็นคนที่นำการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศก็ได้
6.# ใน 2ทธ. 4:13 อ.เปาโลสั่งทิโมธีว่า เมื่อทิโมธีมา ให้เอาเสื้อคลุมซึ่งของอ.เปาโลได้ฝากไว้กับคารปัส ที่เมืองโตรอัสมาด้วย พร้อมกับหนังสือซึ่งน่าจะหมายถึงพระคัมภีร์และหนังสืออื่นๆ
ผู้รับใช้อาวุโสผู้ทุ่มเททั้งชีวิตในการปรนนิบัติรับใช้พระเยซู อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย พอมาถึงบั้นปลายชีวิต กลับแทบไม่มีอะไรเหลือเป็นสมบัติส่วนตัวเลย นอกจาก เสื้อคลุมตัวหนึ่ง กับหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม
ถึงกระนั้นคริสเตียนทั่วโลกตลอด 2,000 ปีที่ผ่าน ต่างยอมรับว่า เขาเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีคริสตจักรเกิดขึ้นบนโลก
และแน่นอน เขาเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้า
เรื่องนี้ สรุปให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การวัดความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้า ไม่ได้วัดตามมาตรฐานหรือค่านิยมของโลก แต่วัดตามสิ่งที่จะได้รับในสวรรคสถาน
ชายแก่ผู้ตายอย่างไม่มีสมบัติติดตัว ถูกตัดคออย่างน่าอนาจ กลับกลายเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริสตจักร
6.@ อย่าให้เราประเมินการรับใช้คนอื่นด้วยมาตรฐานแห่งโลกนี้
และอย่าไปสนใจ หากใครจะประเมินการรับใช้ของเราด้วยมาตรฐานแห่งโลกนี้
เพราะพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม จะเป็นผู้ตัดสินเองว่า การรับใช้ของเรานั้น มีค่าเพียงใดสายพระเนตรของพระองค์
คำคม
“ จงรับใช้อย่างสุดกำลัง จงยึดมั่นความเชื่อจนวันตาย
เพื่อว่าในวันสุดท้ายของชีวิตเราจะได้พบกับความภาคภูมิใจและปลื้มปิติอย่างที่สุด ”