ภาพรวม
- ยูดา เป็นน้องของยากอบ ซึ่งทั้งสองเป็นลูกของนางมารีย์ ดังนั้นทั้งสองเป็นน้องของพระเยซูด้วย(มธ. 13:55)
- ยูดาเขียนจดหมายนี้ ถึงคริสเตียนทั่วไป เพื่อหนุนใจพวกเขาให้ยืนหยัดในความเชื่อ ต่อต้านกับลัทธิเทียมเท็จ
# แนวคิด
@ การประยุกต์ใช้
1# ใน ยด. 1:1 ชี้ให้เห็นว่า เราผู้ได้รับการทรงเรียก ผู้เป็นที่รักของพระเจ้านั้น จะได้รับการคุ้มครองรักษา
1.@ พระเจ้าทรงรักเราอย่างที่สุด พระองค์จะทรงคุ้มครองเราอย่างแน่นอน
2.# ยด. 1:3-24 สอนว่า ข่าวประเสริฐนั้น พระเจ้าทรงมอบให้กับผู้เชื่อครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดไป ไม่จำเป็นต้องต่อเติมหรือเพิ่มเติมอะไรอีกเลย
หากมีคำสอนที่บิดเบือนความจริงนี้ เราต้องต่อสู้ ต่อต้าน เพื่อความเชื่อในความจริงแห่งข่าวประเสริฐนี้
มีบางคนได้เอาพระคุณของพระเจ้า มาบิดเบือน เป็นช่องทางทำความชั่วช้าลามก ว่าเรารอดแล้วโดยพระคุณดังนั้นทำชั่วช้าลามกกันได้เต็มที่เลย
มีบางคนได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระบุตรของพระเจ้า
แม้พวกเขาเคยได้เชื่อว่าผู้เชื่อ แต่บัดนี้ละทิ้งความเชื่อในพระเยซูเสีย พวกเขาจะไม่รอด แต่จะพบกับความพินาศ
– เหมือนเรื่องของ คนอิสราเอลที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นจากแผ่นดินอียิปต์ แต่ภายหลังก็ทรงทำลายคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ
– เหมือนพวกทูตสวรรค์ที่เคยได้อยู่ในสวรรค์(มารซาตานและสมุนของมัน) แค่กลับกบฏต่อพระเจ้า พระองค์จึงทรงจองจำไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลายในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่
– เมืองโสโดมเมืองโกโมราห์และเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบๆ นั้น เคยตั้งอยู่ แต่ได้ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศและมัวเมาในกามวิตถาร จึงถูกเผาด้วยไฟกำมะถัน เป็นตัวอย่างของการรับโทษในไฟนิรันดร์
ดังนั้น พวกสอนเทียมเท็จที่เย่อหยิ่งยโสเหล่านั้น พวกเขาจะถูกทำลาย
วิบัติมีแก่พวกเขา เพราะ
– พวกเขาดำเนินตามทางของคาอิน ที่ทำลายน้อง
– พวกเขาปล่อยตัวทำตามความผิดพลาดของบาลาอัม ที่ชักชวนให้อิสราเอลทำบาป ละทิ้งพระเจ้า
– พวกเขาทำตัวเหมือนอย่างกบฏของโคราห์ ที่เห็นแก่ได้ จนชวนคนให้ก่อกบฏ
- พวกเขาทำให้พิธีมหาสนิทเสื่อมเสียไป ด้วยการกินเลี้ยงกันในพิธีมหาสนิทโดยปราศจากความยำเกรงพระเจ้า
พวกเขาเป็นเหมือน
– ผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง
– เมฆที่ไม่มีน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม
– ต้นไม้ที่ไร้ผลในฤดูที่ออกผลและตายมาสองหนแล้วเพราะถูกถอนออกทั้งราก
– คลื่นรุนแรงในทะเลที่ซัดฟองแห่งความบัดสีของตนเองขึ้นมา เป็น
– ดวงดาวที่พลัดออกไปนอกวงโคจร ความมืดมิดถูกสงวนไว้สำหรับพวกเขาตลอดกาล
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมานั้น จะทรงพิพากษาพวกเขาทุกคน
วันนั้น พวกเขาจะสำนึกตัวถึงการอธรรมทุกอย่าง ที่พวกเขาทำไป และสำนึกตัวถึงความหยาบช้าทั้งหมด ที่ได้กล่าวร้ายต่อพระองค์
พวกเขาเป็นมีลักษณะ
– ช่างบ่นช่างติ
– ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง
– ปากของพวกเขาคุยโวโอ้อวด
– ยกยอผู้อื่นเพื่อหวังประโยชน์ของตน
ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ที่บรรดาอัครทูตของพระเยซูได้พยากรณ์ไว้ ว่า
ในวาระสุดท้ายจะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยเกิดขึ้น ซึ่งพวกเขา
– จะดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง
– จะก่อให้เกิดความแตกแยก
– จะหมกมุ่นอยู่ในโลกียวิสัย
– จะปราศจากพระวิญญาณ
ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ คือ
– สร้างตัวของเราขึ้นบนความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐ ไม่หลงตามคำสอนของพวกเขา
– อธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่เสมอ
– รักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า
– มีใจเมตตาคนที่ยังสงสัยอยู่
– ช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ
– เมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า
– รังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยกายที่เป็นมลทิน ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกเขา
แล้วพระเจ้าจะทรงปกป้องเราไม่ให้สะดุดล้ม และทรงตั้งเราอยู่เบื้องหน้าพระสิริของพระองค์ โดยปราศจากตำหนิและเต็มไปด้วยความร่าเริงยินดี
2.@ ข่าวประเสริฐมีข่าวประเสริฐเดียว ไม่มีข่าวประเสริฐอื่นอีก และไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีก
การบิดเบือนข่าวประเสริฐนั้น เป็นการกระทำที่สุดแสนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า
เพราะเป็นการพยายามทำลายสิ่งที่พระเยซูทรงซื้อมาด้วยราคาอันสูง คือด้วยชีวิตของพระองค์เอง
เราควรยึดมั่นในข่าวประเสริฐจนวันตาย
และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับใครก็ตามที่พยายามบิดเบือนข่าวที่แสนประเสริฐนี้
คำคม
“ ข่าวประเสริฐมีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งมีผลชั่วนิรันดร ”