แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:1) { ทะเลสาบกาลิลี }

แนวคิด :

– ทะเลสาบน้ำจืดที่อยู่มานาน กว้าง​ประ​มาณ ​10 ​กม. ​และ​ยาว​ประมาณ ​22 ​กม. ​ในอดีตสมัยโมเสส เคยถูกเรียกว่า “คิน​เนเรท” ​(​กดว. ​34:11​) ต่อมา ถูกเรียกว่า “​เยนเน​ซาเรท” ​(​ลก. ​5:1​) ​บ้างก็เรียก“ทิเบ​เรียส” [ตามชื่อจักรพรรดิ ค.ศ.20] ​(​ยน. ​6:1​; ​21:1​) ​และชื่อที่คุ้นเคยคือ “ทะเลสาบกาลิลี” เพราะอยู่ในแคว้นกาลิลี ในสมัยโรมัน

– ใครจะไปคิด ทะเลสาบเล็กกระจิดริด เมื่อเทียบกับมหาสมุทรแปซิฟิค จะมีเรื่องราวมากมายที่หนุนใจคนนับพันล้านคนตลอด2,000 ปีที่ผ่านมา

– ที่ใดที่มีพระเยซู ที่นั่นกลายเป็นที่ที่มีความหมายและเป็นพระพร

การประยุกต์ใช้ :

– เราผู้เป็นคริสเตียน หากมีพระเยซูทำงานในชีวิต แม้เราจะเป็นคนเล็กน้อย หรือคนธรรมดาๆ พระเจ้าก็ทรงสามารถใช้เราเป็นพระพรแก่ผู้คนมากมายได้

– วันนี้ เรายินดีและเต็มใจให้พระเยซูทำงาน ในชีวิตของเรา มากน้อยเพียงใด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:2) { แรงจูงใจ }

แนวคิด :

– ผู้คนมากมายจากเมืองต่างๆในแคว้นกาลิลี ที่พระเยซูได้ทำการอัศจรรย์ในเมืองของพวกเขา ได้ตามพระเยซูไป

– แต่ไม่ได้ตามมาเพื่อจะพบกับพระเจ้า หรือเพื่อเป็นผลดีต่อจิตวิญญาณของตน

– พวกเขามาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์อันน่าประหลาดใจ หรือ เพราะอยากให้ร่างกายของพวกเขาได้รับการรักษา

– น่าเสียดายที่เขา มาจนถึงพระเยซูผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิตแล้ว แต่กลับไม่พบชีวิต เพราะเขามาหาผิดเป้าหมาย

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้อะไรเป็นแรงจูงใจของเรา ในการมาหาพระเยซู?

– อะไรเป็นแรงจูงใจของในการอธิษฐาน? (อยากให้ปัญหาได้รับการแก้ไข หรือ อยากพบชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า)

– อะไรเป็นแรงจูงใจในการอ่านพระคัมภีร์ (อยากรู้เยอะขึ้น , อยากให้พระเจ้าอวยพร หรือ อยากรู้จักกับพระองค์)

– ขอเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ ให้เกิดแรงจูงใจที่ถูกต้องภายในจิตใจของข้าพระองค์

– แรงจูงใจเดียว ที่สมควรมีในการมาหาพระเยซูคือ รักพระเยซู

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:3) { พักสงบ }

แนวคิด :

– เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อจาก 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกตัดคอ(มก.6:27) และ อัครสาวก 12 คนกลับมารายงานความสำเร็จของการออกไปรับใช้ของพวกเขา (มก.6:30)

– ยามที่เผชิญกับความเสียใจและเผชิญกับความสำเร็จ พระเยซูวางแบบอย่างแก่สาวกให้ จัดเวลาหยุดพักและพักสงบกับพระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :

– ที่ที่เหมาะที่สุด สำหรับการรับมือ ความเสียใจ หรือ ความสำเร็จ ก็คือ ต่อจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

– แยกตัวออกมาพักสงบร่างกายและใช้เวลานั้นสำหรับการสงบจิตใจเรียนรู้ รับการสอนจากพระบิดา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:4) { วิธีของพระเยซู }

แนวคิด :

– ทำไมข้อนี้จึงถูกบันทึกในพระธรรมตอนนี้? มันเกี่ยวอะไรกับบริบทขึ้นไปบนภูเขา?

– ลึกซี้งมาก!!!…ขอบคุณพระเจ้า

– พระเยซูเริ่มงานรับใช้ ตอนอายุ 30 ถูกตรึงตอน อายุ 33

– ตลอดช่วงของการรับใช้ พระองค์พบเทศกาลปัสกา 3 ครั้ง

– ครั้งแรก ยน.2:13 “เทศกาล​ปัสกา​ ของ​พวก​ยิว​ใกล้​เข้า​มา​แล้ว ​พระ​เยซู​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม​”

– ครั้งสุดท้าย ช่วงที่พระองค์ถูกตรึง ยน. 13:1 “ก่อน​ถึง​งาน​เทศกาล​ปัสกา ​พระ​เยซู​ทรง​ทราบ​ว่า ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​พระ​องค์​จะ​ทรง​จาก​โลก​นี้​ไป​หา​พระ​บิดา …​”

– ครั้งที่จะถึงในข้อนี้ เป็นครั้งที่ 2 (ระหว่างครั้งแรกและครั้งสุดท้าย)

– ช่วงเวลาสำคัญ ขนาดนี้ พระองค์จงใจขึ้นบนภูเขา ปลีกตัวจากฝูงชน เพื่อคุยกับพระบิดา และ เพื่อสอนและเตรียมสาวกสำหรับวันยิ่งใหญ่ ในปัสกาครั้งต่อไป

(สำหรับเรา Happy Birthday เพื่อระลึกถึงวันเกิด สำหรับพระองค์ วันนั้นเป็น 1ใน2 ครั้ง ตลอดช่วงเวลาของการรับใช้ ที่จะระลึกถึง “วันตายของพระองค์”)

การประยุกต์ใช้ :

– การเตรียมตัวที่ดีที่สุด สำหรับการเผชิญหน้ากับเรื่องสำคัญ คือ การปลีกตัวเพื่อแก่การอธิษฐาน

– วันนี้ เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสำคัญๆ แต่ละครั้งในชีวิต เราทำอย่างไร?

– แล้วตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะทำอย่างไรใช้ “วิธีของพระเยซู” หรือ จะใช้ “วิธีของเราเอง”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:5) { โจทย์แสนยาก }

แนวคิด :

– พระเยซูเงยพระพักตร์และทอดพระเนตร ทั้งที่พระองค์อยู่บนภูเขา ทำไมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูประชาชนที่กำลังขึ้นมา

– ก็เพราะพระองค์กำลังก้มหน้า (ไม่อธิษฐาน ก็ คงกำลังสอนเหล่าสาวก) เนื่องจากนี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ใกล้ปัสกาสุดท้าย ก่อนถึงปัสกาที่จะทรงสิ้นพระชนม์ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ พระเยซูจึงใช้เวลาสงบกับพระบิดา และเหล่าสาวก

– แต่ประชาชนก็ยังตามมา ความสงบเงียบจึงต้องสิ้นสุดลง…(ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆประชาชนพวกนี้ ไม่รู้เวล่ำเวลาเลย คนเขาจะพักสงบบ้าง)

– แต่พระเยซูไม่หงุดหงิดพวกเขา พระองค์กลับสงสารพวกเขา สอนพวกเขา แถมยังรักษาโรคแก่พวกเขาที่ป่วยอีกด้วย (มธ. 14:14)

– ยังไม่พอยังจะเลี้ยงอาหาร พวกเขาอีกต่างหาก

– แล้วพระองค์ใช้โอกาสนี้ เพื่อทดสอบฟีลิป ให้โอกาสแก่เขา ในการพัฒนาความเชื่อ และท่าทีที่มีต่อพระเยซู

– พระองค์ถามเขาว่า “พวกเราจะ…..”

– พระองค์ตั้งโจทย์แสนยาก คือ ซื้ออาหารเลี้ยงคนนับหมื่นคน(รวมผู้หญิงและเด็ก)

– แต่พระองค์ใช้คำว่า “พวกเราจะ…” ปัญหาที่แสนยากนี้ ฟีลิปและพระเยซู จะร่วมกันแก้อย่างไร คำนี้ “พวกเราจะ…” ทำให้โจทย์ที่แสนยาก กลายเป็นเรื่องง่ายทันที

– ฟีลิปไม่ต้องแก้โจทย์นี้แต่ลำพัง เขาร่วมกันกับพระเยซู

(ผมลองนึกเล่นๆดู ถ้าพระเจ้าตรัสกับโมเสส ด้วยคำถามเดียวกันนี้

“พวกเราจะเลี้ยงคนอิสราเอล 3ล้านคน ในถิ่นทุรกันดาร อย่างไรดี?” 
โมเสสคงยิ้มแป้นแล้วตอบง่าย “ลงมือได้เลยพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบ ข้าพระองค์ทำไม่ได้ แต่เป็นเรื่องแสนง่ายสำหรับพระองค์”)

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อใดก็ตามที่เรามาหาพระเยซู ด้วยความถ่อมใจ ปรารถนาให้พระองค์ทรงช่วยเรา ทรงสอนเรา พระองค์ไม่จะไม่เพิกเฉยต่อการมาหาของเราอย่างแน่นอน
(ขนาดพวกนี้ไม่รู้กาลเทศะ พระองค์ยังตอบสนองพวกเขาด้วยความรักและเมตตาเลย)

– เมื่อใดก็ตามที่เรารู้ตัวว่า โจทย์ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ เราไม่ต้องแก้แต่ลำพัง เราและพระเยซูจะร่วมกันแก้

– เมื่อนั้น โจทย์ที่แสนยากนั้น จะกลายเป็นเรื่องแสนง่ายทันที หากเรายอมปล่อยให้พระองค์เป็นผู้ทรงแก้เอง เพราะเรารู้ตัวว่า เราไม่มีปัญญาแก้เองได้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:6) { การทดสอบความเชื่อ }

แนวคิด :

– พระเยซูถามเพื่อลองใจ(ทดสอบความเชื่อ)ของฟีลิป

– ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้จึงต้องลองใจ แต่เพื่อตัวฟีลิปเอง จะรู้ว่าความเชื่อของเขายังต้องการพัฒนาอีกมาก

– แต่การลองใจนี้ไม่น่ากังวลเลย เพราะพระเยซูทรงทราบอยู่แล้วว่า พระองค์จะทำอะไรต่อไป

การประยุกต์ใช้ :

– มีการทดลองความเชื่อ(ยก.1:3)เกิดขึ้นกับเรา ท้ายที่สุดนั่นจะเป็นผลดีต่อเรา

– หากเราผ่านการทดสอบด้วยดี ก็ทำให้เรารู้ว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราพัฒนาขึ้นอีกขั้นแล้ว

– หากเราไม่ผ่านการทดลอง ก็ทำให้เรารู้จุดอ่อนของเรามากขึ้น และรู้ว่ามีอะไรบ้างที่เรายังต้องพัฒนาฝ่ายวิญญาณ ในชีวิตของเรา

– ไม่ว่าเราผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ไม่น่าห่วงเลย เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการของพระองค์อยู่แล้ว ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้สถานการณ์เกิดกลายเป็นผลดี และเป็นพระพร

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:7) { มองไปที่ใด }

แนวคิด :

– ขนาดเงินสำหรับจ่าย​ค่า​บำรุง​พระ​วิหาร​ เปโตรยังต้องไปเอามาจากปากปลาเลย(มธ. 17:27) แล้วจะไปเอา 200เหรียญเดรานิอัน(ค่าจ้าง​คนงาน ​1 ​คนทำงาน​เป็น​เวลา ​7 ​เดือน) สาวกจะไปหาที่ไหน

– แต่ต่อให้หาได้ ก็ไม่พอซื้ออาหารให้กับมหาชนเหล่านั้นอยู่ดี

– สำหรับฟิลิปแล้ว มีพระเยซู + 200 เหรียญเดนาริอัน ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อยู่ดี
– แต่ถ้ามีพระเยซู + 100,000 เหรียญเดนาริอัน ก็จะหมดกังวลทันที

– ฟิลิปมองการแก้ปัญหา ด้วยวิธีแบบโลกนี้ วิธีเดิมๆที่เขาคิดได้ หรือเคยทำมาก่อน เขาจึงเห็นแต่ “ไม่เพียงพอ”

– แต่พระเยซู มีวิธีใหม่ที่เขาคิดไม่ถึงเตรียมเอาไว้แล้ว

การประยุกต์ใช้ :

– การแก้ปัญหาที่เราเผชิญวันนี้ เรามองไปที่ใด ถ้ามองไปที่วิธีเดิมๆ แบบที่ในโลกนี้ใครเขาก็ใช้วิธีแบบนี้กัน เราอาจจะเห็นแต่ “ไม่มีทาง”

– แต่ถ้าเรามองไปที่พระเยซู วางใจในพระองค์ แม้ยังนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ยังคงวางใจ เราจะเห็น “การอัศจรรย์”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:8) { คนรอบข้าง }

แนวคิด :

– พระเยซูกำลังทดลองใจฟีลิป… อ้าว!!! แอนดรูมาจากไหนเนี่ย?

– ดูเหมือนว่า ฟิลิปจะสนิทกับแอนดรูเป็นพิเศษ (ยน. 12:21-22)

– ขณะที่พระเยซูนำโจทย์เข้ามาพัฒนาชีวิตของฟีลิป แอนดรูก็ได้รับการเรียนรู้ไปด้วยพร้อมๆกัน

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อพระเจ้ากำลังให้เหตุการณ์บางอย่างเข้ามาพัฒนาชีวิตของเรา ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงสามารถให้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดเราไปพร้อมๆกันด้วย

– ในทางตรงกันข้าม หากพระเจ้ากำลังใช้เหตุการณ์บางอย่างพัฒนาชีวิตของใครบางคน เราควรใช้โอกาสนั้นเรียนรู้ไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน

– สรุปได้ว่า เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นรอบข้างของเราในวันนี้ กำลังก่อให้เกิดประโยชน์แก่เราและคนรอบๆข้างของเรา ขอบคุณพระเจ้า

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:9) { เท่านี้จะพออะไร? }

แนวคิด :

– ฟีลิป มองที่เงินที่ไม่มี แอนดรูดีขึ้นนิดนึง มองอาหารที่มี แต่ก็คิดว่าที่มีนั้นไม่พออยู่ดี แม้พระเยซูจะอยู่ด้วยก็ตาม

– ขนมปัง 5 ก้อน กับ ปลา 2 ตัว จากเด็กคนหนึ่ง น่าจะเป็นอาหารที่แม่ห่อมาให้สำหรับเขา ซึ่ง คงไม่ใช่ขนมปังก้อนใหญ่ และ คงเป็นปลาตัวเล็กๆ

– ยิ่งมองยิ่งไม่เห็นทาง

การประยุกต์ใช้ :

– ฟีลิป มองผิด เพราะมองว่าเขาไม่มีอะไรจึงเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้

– แอนดรู มองพลาด เพราะแม้มองว่าเขามีอะไรก็มองแบบไม่มีพระเยซูเกี่ยวข้อง จึงเห็นว่า แม้จะทำอะไรได้บ้างแต่ก็ไม่มีทางเพียงพอ

– วันนี้ หากเรามองสิ่งที่เรามีในมือ ด้วยสายตาแห่งความเชื่อ และมอบให้พระเยซูทรงใช้สิ่งที่อยู่ในมือของเรา สิ่งที่เราจะทำนั้นมันจะเป็นไปได้ และ ทรัพยากรหรือกำลังของเราจะเพียงพอ สำหรับทำมันให้สำเร็จอย่างแน่นอน

– จงมองกำลังที่เรามี โดยสายตาแห่งความเชื่อว่า “ข้าพเจ้าทำได้ โดยพระเยซูผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:10) { จัดฉาก }

แนวคิด :

– พระเยซูไม่ได้ตำหนิ ความไม่เชื่อของเหล่าสาวก

– แต่พระองค์ ทรงให้โอกาสพวกเขามีส่วนร่วมรับใช้ในการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการกระทำง่ายๆ คือ บอกให้ประชาชนนั่งลง เป็นหมู่ๆ หมู่ละ50คนบ้าง 100คนบ้าง(มก. 6:39-40)

– หญ้าที่พระองค์ให้พวกเขาเป็นหญ้าสด(มก. 6:39) เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ

มี​ผู้​ชาย​ประ​มาณ​ห้า​พัน​คน ไม่​รวม​ผู้​หญิง​และ​เด็ก (มธ. 14:21) ดังนั้นถ้านับรวม น่าจะเกิน 10,000 คน นั่นคือ ขนมปัง 1 ก้อน ต่อคนประมาณ 2,000 คน

– พระองค์ให้พวกเขา นั่งลงเตรียมรับอาหารก่อน แล้วอาหารจึงมา ไม่ใช่อาหารมาก่อนแล้วไปนั่ง

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูให้โอกาสแก่เรา ในการมีส่วนร่วมกับพระองค์ โดยพระองค์จะให้เราทำสิ่งง่ายๆที่กำลังของเราจะพอทำได้ แล้วพระองค์จะทำสิ่งยากๆ ซึ่งเราไม่มีทางทำได้นั้นให้เอง เพียงแค่เราเชื่อฟังทำตามสิ่งที่พระองค์บอกเท่านั้นก็เพียงพอ

– นอกจากพระองค์จะทำอัศจรรย์ในการเพิ่มพูนอาหารแล้ว ยังมีสิ่งที่พระองค์ทำที่เกินกว่ามนุษย์จะทำได้ คือ การจัดฉากเพื่อการอัศจรรย์ มีองค์ประกอบที่แสนลงตัว

> คน : นับหมื่นมาพร้อมกัน

> สถานที่ : ที่ภูเขาที่ไม่มีอาหาร

> เวลา : ในช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิ เพราะเมื่อพระองค์จะอวยพร จะเป็นพระพรอย่างดี นั่งลงยังสบายเลย

> องค์ประกอบเล็กๆ : เด็กที่พกขนมปังกับปลาเล็กน้อยมาด้วย

– ในการทำอัศจรรย์ เรื่องที่ยากๆพระองค์จัดการเอง หน้าที่ของเรา คือเชื่อฟัง ในเรื่องง่ายๆที่พระองค์สั่งให้เราทำก็เพียงพอ

– ในการรับการอัศจรรย์ เตรียมรับราวกับว่าอาหารมาแล้ว แล้วอาหารก็จะมา

เราจัดฉากในส่วนของเรา และพระองค์จะจัดฉากในส่วนของพระองค์เอง

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:11) { จึงเกิดการอัศจรรย์ }

แนวคิด :

– พระองค์ทรงหยิบขนมปังนั้น อธิษฐานแล้ว ​ส่ง​ให้​พวก​สา​วก​เอา​ไป​แจก​จ่าย​ฝูง​ชน(ลก. 9:16)

# ทำไมต้องหยิบ? พระองค์ก็แค่อธิษฐานแล้วก็บอกให้สาวกไปแจกเลยไม่ได้หรือ?

>> สาวกต้องมอบถวายสิ่งเล็กน้อยที่มีให้แก่พระเยซูทั้งหมดก่อน สิ่งนั้นจึงจะสามารถทวีคูณเป็นพระพรมากมายได้

# พระเยซูอธิษฐานขอบพระคุณ สำหรับขนมปังแค่เล็กน้อย ขอบคุณขณะที่มันยังเล็กน้อยอยู่ ไม่ได้รอให้มันทวีคูณก่อนถึงค่อยมาขอบพระคุณ

# พระเยซูแจกจ่ายแก่ฝูงชน ผ่านมือของสาวก(ลก. 9:16) ดูเหมือนการอัศจรรย์ทวีคูณไม่ได้เกิดขึ้นตอนขนมปังออกจากมือพระเยซู (มก. 6:41 …​หัก​ขนม​ปัง “​นั้น” ​ให้​เหล่า​สาวก ให้​เขา​แจก​แก่​คน​ทั้ง​ปวง…​) แต่เกิดขึ้นตอนมันถูกหักแบ่งออกจากมือของพวกสาวกไปยังประชาชน แล้วหักไม่หมดสักที

>> พระเจ้าประสงค์ที่จะใช้มือของเหล่าสาวกทำการอัศจรรย์

# นอกจากขนมปังแล้ว พระองค์ยังประทานปลาแก่พวกเขาอีกด้วย มากเท่าที่เพวกเขาปรารถนา(as much as they would)

>> การอวยพระพรจากพระเจ้า จะมีมากเพียงพอสำหรับความต้องการของเราเสมอ

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อแอนดรู มอบขนมปังทั้งหมดที่เขากล่าวถึงใน ยน. 6:9 “…เท่านี้​จะ​พอ​อะไร​..” แด่พระเยซู นั่นก็มากเพียงพอ สำหรับเลี้ยงฝูงชน

– วันนี้ หากเรามอบทั้งหมดที่เรามีแด่พระองค์ จริงๆ พระองค์สามารถทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นพระพรแก่ผู้คนมากมายได้

– วันนี้ ให้เราทำตามแบบอย่างของพระเยซู ด้วยการขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่เรามี แม้มันจะดูเหมือนว่ามีเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องรอให้มากก่อนแล้วค่อยขอบพระคุณ

– วันนี้ พระเจ้ายังคงประสงค์ทำการอัศจรรย์ผ่านมือของเรา(มากกว่ามือทูตสวรรค์) แต่เราจะไม่เห็นการอัศจรรย์จนกว่าเราจะลงมือทำ

(เช่น อยากเห็น คนหายป่วยต้องเริ่มวางมืออธิษฐานเผื่อเขา)

– การอวยพระพรจากพระเจ้า จะมีอย่างเพียงพอสำหรับความจำเป็นของเราเสมอ เมื่อถึงวาระแห่งการอวยพรจากพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:12) { อย่าให้สิ่งใดตกหล่น }

แนวคิด :

– การเก็บเศษอาหารที่เหลือ ทำให้เป็นสิ่งยืนยันการอัศจรรย์อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่แค่ทุกคนทานอาหาร คนละเล็ก คนละน้อย แต่ทานจนอิ่มหน่ำ จนเพียงพอ จนเหลือเศษอาหาร

– การเก็บเศษอาหาร ชี้ให้เห็นว่า พระเยซูประสงค์ให้ใช้สิ่งดีที่พระเจ้าประทานให้อย่างเต็มที่ โดยไม่สูญเสียไปเลยแม้แต่น้อย (เก็บที่เหลือเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป)

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อการอวยพรของพระเจ้ามาสู่ชีวิตของเรา จะเพียงพอ อย่างเหลือเฟือ มากเกินพอ

– เมื่อพระเจ้าประทานสิ่งดีใดๆแก่เรา พระองค์ประสงค์ให้เราใช้สิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่สูญเสียไปเปล่าๆ

– วันนี้ มีอะไรบ้างที่พระองค์ประทานแก่เรา

> เวลา , ความสามารถ , เงิน , ความสัมพันธ์ , พลกำลัง , ทรัพย์สิ่งของ , หน้าที่การงาน > พระคัมภีร์ , ข่าวประเสริฐ , พระวิญญาณบริสุทธิ์ , สิทธิในการอธิษฐาน และ ชีวิตของเรา

>>> จงใช้สิ่งเหล่านี้ อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดกันเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:13) { เหลือแค่ 12 ตะกร้า }

แนวคิด :

– เศษอาหารที่เหลือ จากขนมปัง 5 ก้อน และคงรวมจากปลา 2 ตัวด้วย(มก. 6:43) พวกสาวก 12 คน เก็บได้ 12 ตะกร้าเต็ม คนละตะกร้าพอดี

– สิ่งที่ มอบให้พระเยซู คือ “ขนมปัง 5 ก้อน กับ ปลา 2 ตัว” ซึ่งแม้มันน้อย แต่ก็เพียงพอสำหรับพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว สิ่งที่เหลือเมื่อเทียบกับสิ่งที่มอบออกไป ก็ยังมีเหลือมากกว่าสิ่งที่มอบไป มากมายนัก

– จากการคำนวณปริมาณฝูงชน เป็นผู้ชาย 5,000 คน + ผู้หญิง(ซึ่งสังเกตจากพระคัมภีร์ตอนอื่นๆว่า มักติดตามพระเยซูมากกว่าผู้ชาย) + เด็ก น่าจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 12,000 คน

– 12,000 คน มีอาหารเหลือ 12 ตะกร้า นั่นคือ 1,000 คน เหลือแค่ 1 ตะกร้า

นั่นคือ 100 คน เหลืออาหารแค่ 1 ใน  10 ของตะกร้า ซึ่งถือว่าน้อยมาก

>>> พระเยซู อวยพระพรอย่างเหลือเฟือ ทุกคนทานจนอิ่ม แต่ไม่ได้เป็นแบบฟุ่มเฟือย เกินจำเป็นมากๆ เกินพอเพียงเล็กน้อย

>>> พูดอีกนัยหนึ่งคือ จบเป็นครั้งๆไป ถ้าพระองค์อวยพรจนเหลือ สัก 1,000 ตะกร้า การอัศจรรย์ครั้งนี้ คงใช้ต่อไปได้อีกหลายวัน แต่การอัศจรรย์จากพระเจ้ามากเพียงพอสำหรับแต่ละครั้งไปเสมอ

– เราไม่สามารถใช้การอัศจรรย์เมื่อวานสำหรับวันนี้ วันนี้ก็จะมีการอัศจรรย์ของวันนี้เอง

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูให้โอกาสสาวกในการ ชื่นชมกับผลของการอัศจรรย์ โดยการประเมินผลสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป จากการรวบรวมเศษอาหารที่เหลือ เพื่อให้เห็นว่ามันเหลือเฟือ มากพอจนทุกคนอิ่มหน่ำ

>> เป็นการดีที่จะประเมินผลสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเราอยู่เสมอ

– เมื่อเรามอบให้พระเยซู แม้มันจะเล็กน้อย พระองค์เองจะทำให้มันเพียงพอสำหรับการทำพระราชกิจของพระองค์ และสุดท้ายผลที่เราได้รับกลับคืนมา มักมากกว่าที่เรามอบถวายไปอยู่เสมอ

>> เวลา , เงินทอง , ความสามารถ , โอกาสของความก้าวหน้าในชีวิต ,ฯลฯ

– การอวยพรจากพระเจ้าเมื่อวานนี้ มากเพียงพอสำหรับเมื่อวานนี้ เรามักไม่สามารถใช้มันสำหรับวันนี้ วันนี้ก็มีการอวยพรมากเพียงพอสำหรับวันนี้เองอยู่เสมอ

– ความ​รัก​มั่นคง​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ไม่​เคย​หยุดยั้ง และ​พระ​กรุณา​ของ​พระองค์​ไม่​มี​สิ้นสุด

​“เป็น​ของใหม่​ทุก​เวลา​เช้า” … พคค. 3:22-23

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:14) { เหตุที่ทำให้เชื่อ }

แนวคิด :

– พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูทำ(ยน. 6:2)และได้รับการรักษาจากพระองค์(มธ. 14:14) และได้ยินคำสอนจากพระองค์หลายประการ (มก. 6:34) แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา (ผู้เผยพระวจนะที่โมเสสกล่าวถึง)

– จนกระทั่งเขาได้กินจนอิ่ม ถูกใจพวกเขามาก (มากกว่าอาหารฝ่ายวิญญาณ) จนเขาอยากให้พระองค์เป็นผู้นำของเขาตลอดไปเลย(ยน.6:15) จะได้กินอิ่มทุกวัน

– พวกเขาช่างเข้าใกล้แผ่นดินของพระเจ้ามากเหลือเกิน แต่ในเวลาอีกไม่นาน พวกเขาก็ละทิ้งและปฏิเสธพระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ได้ให้อาหารเขากินจนอิ่มอีกต่อไป

การประยุกต์ใช้ :

– การอัศจรรย์เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้คนหันมาใส่ใจเรื่องของพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่สามารถเป็นรากฐานของความเชื่อที่แท้จริงได้

– หากรากฐานความเชื่อของเราอยู่บนการอัศจรรย์ วันใดที่เราไม่เห็นการอัศจรรย์ ความเชื่อของเราจะพังลง

– รากฐานความเชื่อที่แท้จริง ควรตั้งอยู่บนศิลาที่แข็งแกร่ง คือ พระดำรัสของพระเจ้า

– เราเชื่อ เพราะพระเจ้าบอกเอาไว้ ไม่ใช่เพราะเราได้เห็นอัศจรรย์

– “ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น ฉันก็จะเชื่อ มีไรมั้ย!!!”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:15) { คนละแผนกัน }

แนวคิด :

– เมื่อฝูงคนได้เห็นอัศจรรย์กินอิ่มหน่ำ จึงอยากให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ของพวกเขา เพื่อเขาจะได้กินอิ่มทุกวันตลอดไป

– และถ้าพระเยซูทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คนยิวนับหมื่น นับแสนคงหันมาติดตามพระองค์ (ผู้แจกอาหารฟรีทุกวัน) และเทิดทูนพระองค์เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ จนสามารถปลดปล่อยพวกเขาจากการปกครองของโรมได้เป็นแน่

– และเมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์จะสอนคนยิวทั้งหลายให้กลับมาหาพระเจ้าได้เต็มที่ และยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ปลดปล่อยยิวอีกด้วย

– ช่างเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

– แต่พระเยซูไม่สนใจแผนของพวกเขาแม้แต่น้อย พระองค์ปฏิเสธ และปลีกตัวขึ้นบนภูเขาแต่ลำพัง ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ให้สาวกไปกับพระองค์ด้วย อาจจะเป็นเพราะพวกสาวกก็มีแนวคิดเดียวกับฝูงชนเหล่านั้น (มธ. 20:20-24 ​บุตร​ทั้ง​สอง​ของ​เศ​เบ​ดีและสาวกคนอื่นๆ ก็หวังจะให้พระองค์เป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน)

การประยุกต์ใช้ :

– แผนการของมนุษย์ แม้จะดูดีและเข้าท่า แต่มักจะไม่เหมือนกับแผนการของพระเจ้า

– แผนการของฝูงชน ถ้าสำเร็จ พระเยซูจะกลายเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ มีคนติดตามมากมาย

– แต่ แผนการของพระเจ้า เมื่อสำเร็จ พระเยซูจะกลายเป็นนักโทษประหาร ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนเยี่ยงโจรชั่วช้า และผู้ติดตามจะทิ้งพระองค์ไปหมด จะไม่เหลือใครติดตามพระองค์เลย

– แผนการของฝูงชน ถ้าแม้นสำเร็จ ก็จะช่วยชาวยิวได้เพียงชั่วคราว

– แต่เมื่อแผนการของพระเจ้าสำเร็จ จะสามารถช่วยมนุษย์ทุกคนที่ต้องการให้พระองค์ช่วย ได้ตลอดนิจนิรันดร์

– วันนี้ หากแผนที่เราคาดหวังไว้ จะไม่สำเร็จ แต่ให้รู้เถอะว่า แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา อันเป็นแผนการเพื่อสวัสดิภาพ(ยรม. 29:11) กำลังดำเนินไปสู่ความสำเร็จ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:16) { มาแปลก }

แนวคิด :

– ใน มธ. 14:22 แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​สั่ง​ให้​บรร​ดา​สา​วก​ลง​เรือ​ทัน​ที และ​ข้าม​ฟาก​ไป​ก่อน …

– ใน มก. 6:45 แล้ว​พระ​องค์​ตรัส​สั่ง​ให้​พวก​สา​วก​ลง​เรือ​ทัน​ที​…

– หลังจากการอัศจรรย์เลี้ยงอาหารฝูงชนแล้ว พระเยซูสั่งให้พวกสาวก รีบไปที่ทะเลสาบ เพื่อลงเรือข้ามฟากไปทันที

– เพราะว่าพวกเขากำลังจะมีนัดสำคัญกับการอัศจรรย์ครั้งมโหฬารที่เขากำลังจะได้พบ

การประยุกต์ใช้ :

– สาวกคงไม่เข้าใจ ทำไมคราวนี้พระเยซูมาแปลก ทำไมรีบๆขนาดนี้? ทำไมไม่ให้เราคุยโม้กับฝูงชนต่อถึงอัศจรรย์ชนมปัง5ก้อน? ทำไมพระองค์ไม่ไปกับเราด้วยเหมือนทุกครั้ง?

– ทั้งหมดนี้ เพราะพระเยซูเตรียมการสำหรับการให้พวกเขาพบการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดในโลกได้เคยเห็นมาก่อน

– เมื่อพระเจ้าทรงนำเราไปสู่สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ไม่คาดคิด เป็นไปได้ว่า พระองค์กำลังจัดเตรียมการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ให้เราได้ประสบในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:17) { พระเยซูอยู่ที่ไหน? }

แนวคิด :

– มืดแล้ว พวกสาวกอยู่กลางทะเล พระเยซูหายไปไหน?

– ดูเหมือนพระเยซูจะทอดทิ้งพวกเขาไป ยามที่พวกเขากำลังลำบาก กำลัง​กรร​เชียง​ด้วย​ความ​ลำ​บาก​เพราะ​ทวน​ลม​อยู่ (มก. 6:48)

– แต่ความจริงพระองค์ทรงเห็นทั้งหมด(มก. 6:48)

– เพียงแค่พระองค์รอเวลาที่เหมาะสม แล้วจะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้พวกสาวกได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้ หากเราสึกราวกับว่า เรากำลังสู้ปัญหาแต่ลำพัง “พระเยซูอยู่ที่ไหน?” “ทำไมพระองค์ไม่ทำอะไรเลย?”

– ให้เรายังคงตีกรรเชียงต่อไป ทำในส่วนที่เราได้รับมอบหมาย ในส่วนที่เรารับผิดชอบต่อไปอย่างสัตย์ซื่อ

– พระเยซูทรงรู้เวลาของพระองค์ ว่าเวลาใดที่พระองค์สมควรทำอะไร อย่างไร

– ขอเพียงเรารอคอย อย่างไว้วางใจ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:18) { ใครผิด? }

แนวคิด :

– ทะเลกำเริบเสียแล้ว พวกเหล่าสาวกติดแหง็กกลางทะเล เพราะใคร?

– ก็เพราะ “พระเยซูนั่นแหละ” บอกให้พวกเขาลงเรือข้ามฟากทะเลสาบนี้ แถมยังรีบๆเร่งให้พวกเขาลงเรือ ถ้าช้าหน่อย รอถึงพรุ่งนี้ค่อยลงเรือ พวกเขาก็คงไม่เจอสภาพอากาศและสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้

– พวกเขาเริ่มพายเรือตั้งแต่หัวค่ำ(ยน.6:16) พายจนถึงราวๆตี3 ยังไม่ถึงฝั่งเลย(มก.6:48)  ต้องไม่ลืมว่า เหตุการณ์นี้เกิดหลังจาก พวกเขาตามพระเยซูขึ้นภูเขาตั้งแต่เช้า แล้วฝูงชนตามมา แล้วพระเยซู เทศนาและรักษาโรคฝูงชน จนเย็น แล้วพวกเขา ต้องแจกอาหารให้คนนับหมื่นคน แล้วยังต้องประสานงานการเก็บเศษอาหารจากคนเหล่านั้นอีก แล้วไม่ทันพัก พระเยซูก็ให้เขารีบลงเรือ จนพวกเขาต้องพายและเผชิญคลื่นในทะเลมากว่า 8 ชม.แล้ว

[นอกจากชาวประมง 4 คน ที่เหลือคงเริ่มอ้วกแตกอ้วกแตนกันแล้ว โดยเฉพาะมัทธิว ปกตินั่งเฉยๆที่ด่านภาษี ไม่เคยมานั่งโยกในเรือนานขนาดนี้ สังเกตได้จาก มัทธิวเขียนว่า “…​ถูก​คลื่น​ซัด​..”มธ. 14:24 เขาจำคลื่นนั้นได้ไม่มีวันลืม แต่ยอห์นชาวประมง กลับเขียนว่า “ทะเล​ก็​กำ​เริบ​ขึ้น…”ยน. 6:18 ไม่ได้สนใจคลื่นแค่บอกว่าทะเลแปรปรวน]

– ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเชื่อฟังพระเยซู

การประยุกต์ใช้ :

– บางครั้งเมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจจะดูแย่ ดูลำบาก หรือ อาจจะถึงกับดูเลวร้าย

– นั่นไม่ใช่เพราะเราผิดที่เชื่อฟัง หรือไม่ใช่เพราะพระเจ้าผิดที่ไม่ปกป้องดูแลเรา

– แต่เพราะพระเจ้ามีของขวัญยิ่งใหญ่อลังการ เตรียมไว้ เพื่อมอบให้กับคนทั้งหลายที่เชื่อฟัง

– คลื่นลมในทะเลเป็นองค์ประกอบสำคัญ สำหรับการให้สาวกได้เห็นสิ่งที่ยังไม่มีมนุษย์คนใดในโลกเคยเห็น ฉันใด

– ความยากลำบาก หรือสถานการณ์ที่ไม่ได้ดังใจของเราในวันนี้ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ สำหรับการให้เราได้พบการช่วยกู้อย่างอัศจรรย์ที่เราไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต ฉันนั้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:19) { เดินบนน้ำ }

แนวคิด :

– หลังจากพายเรือออกจาฝั่งมานานกว่า 8 ชม. เรือของพวกสาวกเพิ่งพายได้แค่ 5-6 กม.(พายได้แค่ 700 ม./ชม.) ทะเลสาบกาลิลีกว้างประมาณ 10 กม. นั่นคือพวกเขาอยู่กลางทะเลสาบพอดี ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็ไม่ได้ หากจะพายเข้าฝั่งต้องใช้เวลาอีก 8 ชม. ไม่ไหวแน่ๆ!!! แย่แล้ว!!!

– ในท่ามกลางสถานการณ์ที่จนมุมเช่นนี้ พระเยซูเดินมาบนทะเล….ว้าว!!! ไม่เคยมีมนุษย์คนใดในโลกเคยทำอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนเลย

– พระเยซูเดินมาช่วยพวกเขา แต่ปรากฏว่า แทนที่พวกเขาจะดีใจและสรรเสริญพระเจ้า แต่พวกเขากลับ “ตกใจกลัว”

– ที่เป็นเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะว่า

>> พวกเขาไม่คิดว่าพระเยซูจะมาช่วยเขาในเวลานี้ได้

>> พวกเขาคิดว่า มีแต่ผีเท่านั้นที่เดินบนน้ำได้(มธ.14:26) พระเยซูทำไม่ได้

[ทั้งที่พระเยซูเก่งกว่าผีมากมายนัก]

>> และที่สำคัญคือ พวกเขาไม่คุ้นเคยกับพระเยซูมากพอ ที่จะจำพระองค์ได้ โดยเฉพาะยามที่เขากำลังตกใจกับวิกฤตในชีวิตเช่นนี้

การประยุกต์ใช้ :

– ในสถานการณ์ของเราในวันนี้ หากมีเหตุการณ์บางอย่าง แทรกแซงเข้ามา ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต

>> จงเชื่อว่า พระเยซูมาช่วยเราได้แน่ๆ รอคอยและมองหาการช่วยเหลือที่มาจากพระองค์

>> จงเชื่อว่า พระเยซูสามารถทำสิ่งที่เกินกว่าที่เราคิดหรือคาดเดาได้ เพื่อช่วยเรา ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีทางออก มันก็จะมีจนได้

– วันนี้ จงเรียนรู้ที่จะคุ้นเคยกับพระเยซู ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านการอธิษฐานและพระคำของพระองค์ เพื่อว่าในยามวิกฤต เมื่อพระองค์ทรงกระทำสิ่งใดเพื่อช่วยเรา เราจะสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งนี้มาจากพระองค์เพื่อช่วยเราเป็นแน่

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:20) { นี่เราเอง อย่ากลัวเลย }

แนวคิด :

– หลังจากสาวกเหนื่อยมาทั้งวัน ตกเย็นก็ลงเรือพายข้ามฝาก จน ตี3 กว่าๆ ก็ยังไปไม่ถึงไหน ติดอยู่กลางทะเล นอนก็ยังไม่ได้นอน พักก็ยังไม่ได้พัก คลื่นก็ซัดเอาซัดเอา

– และแล้ว ขณะที่ร่างกายกำลังอ่อนแรง จิตใจกำลังอ่อนล้า และอ่อนไหว หนักเข้าไปอีกดันเจอผีกลางทะเลท่ามกลางพายุ จะหนีก็หนีไม่ได้

– สิ่งที่เกิดกับพวกเขา ก็คงอธิบายได้ด้วยคำว่า “กลัวสุดขีด”

??? ทำไมพวกเขากลัว ? ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่านั่นคือพระเยซู

– เพียงแค่เขารับรู้ว่า นั่นคือพระเยซู ความกลัวของพวกเขาจะปลาตหายไป กลายเป็นความชื่นชมยินดี อย่างแน่นอน

– พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”

การประยุกต์ใช้ :

– หากเราตระหนักจริงๆว่า วันนี้พระเยซูอยู่กับเรา…เราจะหายกลัว

– หากเราตระหนักจริงๆว่า สิ่งที่กำลังเกิดกับเราวันนี้ เป็นพระเยซูเอง ผู้รักเราอย่างที่สุด ทรงเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้…เราจะหายกลัว

ยน. 1:3 พระ​เจ้า​ทรง​สร้าง​สรรพ​สิ่ง​ขึ้น​มา​โดย​พระ​วาทะ ใน​บรร​ดา​สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​นั้น ไม่​มี​สัก​สิ่ง​เดียว​ที่​เป็น​อยู่​นอก​เหนือ​พระ​วาทะ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:21) { เต็มใจ? }

แนวคิด :

– เมื่อพวกสาวก “เต็มใจ” รับพระเยซูขึ้นเรือ การอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ 2 อย่างก็เกิดขึ้น คือ ทะเลสงบลงทันที(มก.6:51) และ เรือก็ถึงฝั่งทันที ทั้งที่เมื่อกี้ยังอยู่กลางทะเล [เกิดอัศจรรย์ เคลื่อนย้ายมวลสาร (เทเลพอร์ต Teleport)]

– เมื่อเขาเต็มใจต้อนรับพระองค์ เข้ามาในเรือ

>> จากพายุ กลายเป็นความสงบ

>> จากความวิตก กลายเป็นความชื่นชมยินดี

>> จากความกลัว กลายเป็นการสรรเสริญพระเจ้า(มธ.14:33)

>> จากสิ้นหวัง กลายเป็นสมหวัง…ถึงที่จะไปนั้น

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้ เราจะเอาอย่างไรดี?

# จะตกใจกลัวต่อสถานการณ์ต่อไป แล้วเผชิญหน้ากับความเครียด ความกดดัน ตามลำพัง

# หรือ จะ “เต็มใจ” ต้อนรับพระองค์เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในชีวิต แล้วพบกับการช่วยกู้อย่างอัศจรรย์

– แน่นอน ตามความคิด เราคงอยากให้พระองค์ทำเช่นนั้น แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเราคิดอย่างไร แต่เกี่ยวกับว่า เราจะตัดสินใจอย่างไร?

– เราจะเอาจริง ยกสถานการณ์วันนี้แด่พระเยซู เชิญพระองค์เข้ามาควบคุมสถานการณ์ด้วยพระองค์เอง ส่วนตัวเราขอถ่อมใจเลิกแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่จะเฝ้าอ้อนวอนและรอคอย สิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำเพื่อเรา

– เมื่อเราเต็มใจให้พระองค์เข้าควบคุมสถานการณ์ในชีวิต เราจะเห็นการอัศจรรย์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:22) { หาไม่เจอ }

แนวคิด :

– วันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่พระเยซูเลี้ยงฝูงชนด้วยขนมปัง 5 ก้อน ประชาชนบางส่วนได้กลับไปบ้านแล้ว แต่ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ที่นั่น

– พวกเขาคาดเดาว่า พระเยซูต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ (พวกเขาอยากมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์เลี้ยงอาหารอีก ยน.6:26) เพราะเมื่อวานมีเรือแค่ลำเดียว และมีแต่พวกสาวกลงเรือ พระเยซูไม่ได้ลงในเรือด้วย

– แต่ความจริง พระเยซูไปอีกฝั่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

การประยุกต์ใช้ :

– คนที่แสวงหาพระเยซูอย่างจริงใจ พระองค์จะเปิดโอกาสให้เขาได้พบเจอ บางครั้งพระองค์เสด็จไปหาเขาถึงที่เลย

– แต่คนที่แสวงหาพระเยซู เพื่อผลประโยชน์แห่งโลกนี้ เขาอาจกำลังหาพระเยซู ในที่ที่เขาคิดว่าพระเยซูต้องอยู่ แต่ความจริงพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว

– การแสวงหาพระเจ้า ยากเหลือเกินสำหรับคนที่มาหาพระองค์เพื่อผลประโยชน์ฝ่ายโลกนี้ แต่ง่ายเหลือเกินสำหรับคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยจริงใจเพราะอยากรู้จักกับพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:23) { การอัศจรรย์ไม่ใช่สำหรับทุกคน }

แนวคิด :

– ขณะที่ประชาชนที่เหลือกำลังตามหาพระเยซู ก็มีเรือเล็กหลายลำ มาจากเมืองทิเบเรียส ผ่านมาทางนั้นพอดี

– เมืองทิเบเรียส เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบริเวณทะเลสาบกาลิลี(สร้างขึ้นเป็นเกียรติแด่ ซีซาร์ทิเบเรียส) อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่พระเยซูเลี้ยงฝูงคน

– เป็นไปได้ไง มีเมืองท่าใหญ่ขนาดนั้น อยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อวานมีเรือข้ามฟากแค่ลำเดียวสำหรับสาวก

– แล้วพอมาถึงวันนี้ เรือเล็กเหล่านั้นก็ปรากฏ และมีมากพอให้ประชาชนอาศัยข้ามฝั่งไปได้เสียด้วย

– เห็นได้ชัดว่า เป็นการจัดฉากของพระเจ้า ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้ได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูเดินบนน้ำ เพราะแค่เห็นอัศจรรย์อาหารเพิ่มพูน ก็ยังจะมาจับพระเยซูไปเป็นกษัตริย์เลย ถ้าเห็นพระเยซูเดินบนน้ำได้ จะขนาดไหนต่อไปเกินคาดเดา

การประยุกต์ใช้ :

– พระเจ้าทรงรู้เวลา และ แผนการของพระองค์เอง

– ไม่ใช่ทุกการอัศจรรย์ มีไว้สำหรับทุกคน

– พระเจ้าทรงทราบ และกำหนดเอง ว่า การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

– ไม่ใช่ธุระของเราที่จะไปกำหนด ขอเพียงแต่เรา ไว้ใจ เชื่อใจพระองค์ก็พอ ว่าแผนการของพระองค์ดีเลิศที่สุด และจะเป็นพระพรต่อชีวิตของเราอย่างแน่นอน

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:24) { แสวงหาแบบไร้ค่า }

แนวคิด :

– ฝูงชนตามหาพระเยซูจนทั่ว จนแน่ใจว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่เห็นวี่แววพวกสาวกด้วย

– พวกเขาไม่ละความพยายาม ลงทุนลงเรือออกตามหาพระเยซู ทั้งที่ยังไม่รู้แน่เลยว่าพระเยซูไปที่ไหน แต่ลองเสี่ยงไปที่เมืองคาเปอรนาอูม ดูหน่อยซิ เพราะว่าพระเยซูไปที่นั่นบ่อยๆ

– โอ้ว!!! ช่างน่าประทับใจ ช่างเป็นฝูงชนที่หิวกระหายอยากพบพระเยซูมากอะไรจะขนาดนั้น

– แต่ปรากฏว่า พระเยซูไม่ประทับใจในสิ่งนี้ พระองค์ไม่ได้ชมพวกเขาเลยสักคำเดียว แม้เขาจะลงทุนมากมายถึงเพียงนี้ เพื่อจะตามหาพระเยซู

??? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

– เพราะว่า ท่าทีของเขาไม่ถูกต้อง เขาไม่ได้มาหาพระเยซู เพราะยกย่องเทิดทูนหรืออยากรู้จักพระเยซูมากขึ้น แต่เพราะอยากกินขนมปังวิเศษอีก(ยน.6:26)

– เขาตามหาพระเยซูเพื่อปรนนิบัติพระเจ้าของเขา แต่พระเจ้าของเขาไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นกระเพาะของเขา (ฟป. 3:19 …พระ​ของ​เขา​คือ​กระ​เพาะ​อาหาร​…พวก​เขา​คิด​แต่​เรื่อง​ทาง​โลก)

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้ ถึงแม้ว่าเราจะลงทุน ลงแรงเพื่อแสวงหาพระเยซู แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า พระเยซูกำลังพอใจกับการแสวงหาของเรานั้น

– สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ท่าทีในจิตใจ

– การแสวงหาพระเยซู ทำโดยการมาคริสตจักร ไปกลุ่มเซล ไปร่วมกลุ่มอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ เฝ้าเดี่ยวทุกวัน อธิษฐานเสมอ ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า

– วันนี้ เราแสวงหาพระเยซู เพื่อปรนนิบัติพระของเรา หรือเปล่า ?

 # เงินทอง-เพื่อได้เงินมากขึ้น เพื่อได้รับพระพรฝ่ายโลกนี้มากขึ้น

# ความสำเร็จ-เพื่อพระเจ้าอวยพรให้ทำงานได้สำเร็จๆ หรือได้สมหวัง

# หรือมันอาจเป็นแม้กระทั่ง ความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้า-มาหาพระเยซูเพื่อจะได้เติบโตฝ่ายวิญญาณมากๆจะได้ทำงานรับใช้ได้สำเร็จกว่าใคร

– หรือ วันนี้ เรากำลังแสวงหาพระเยซู เพราะพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเจ้านายของเรา ผู้ที่เรารักและอยากรู้จักพระองค์?

– แบบแรกไร้ค่า พระเยซูไม่ชื่นใจ แบบหลังมีค่ายิ่ง ในสายพระเนตรของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:25) { เศษควันหลงการอัศจรรย์ }

แนวคิด :

– หลังจากตามหา ฝูงชนก็ตามพบพระเยซูที่ คาเปอรนาอุม ในธรรมศาลา (ยน.6:59) ซึ่งน่าจะเป็นธรรมศาลาที่นายร้อยคนหนึ่งสร้างให้(ลก. 7:5)

– พวกเขาเรียกพระเยซู “รับบี”(ท่านอาจารย์) ก่อนหน้านี้หลังจากได้ทานอาหารมื้ออร่อยอย่างอัศจรรย์ พวกเขากล่าวว่า “แท้​จริง​ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​คน​นั้น​ที่​จะ​มา​ใน​โลก” ยน. 6:14 พวกเขานับถือว่าพระเยซูเป็นรับบีจากพระเจ้า

– แต่แทนที่พวกเขาจะแสวงหาถ้อยคำจากพระเจ้าผ่านรับบีจากพระเจ้า พวกเขากลับแสวงหาอาหารอร่อยจากรับบีแทน(ยน.6:26)

– พวกเขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่าน​มา​ที่​นี่​เมื่อ​ไหร่?” … ช่างน่าประหลาดเหลือเกิน เราไม่เห็นท่านลงเรือมากับสาวก , เราไม่เห็นท่านลงเรือลำใดๆเลยที่มาในวันรุ่งขึ้น , ท่านเดินมาก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ ท่านมาถึงเมื่อไหร่?

– ก่อนหน้านี้ พระเยซูทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคยทำมาก่อน “เดินบนน้ำ” มีคน 2 กลุ่ม

>> กลุ่มแรก คือสาวกผู้ละทิ้งสิ่งทั้งปวงติดตามพระองค์ พวกเขาได้ประหลาดใจเพราะเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่นั้น

>> กลุ่มที่2 คือ ฝูงชนผู้ติดตามหาพระองค์เพื่อให้ได้สิ่งทั้งปวง(ได้อาหารอร่อย) พวกเขาก็ได้ประหลาดใจ แต่ไม่ใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์ พวกเขาได้เพียงเห็นแค่ผลของการอัศจรรย์นั้น (ทำไมมาถึงที่นี่เร็วจัง?)

การประยุกต์ใช้ :

– ผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อติดตามพระองค์ จะได้เห็นและมีส่วนในการอัศจรรย์ที่พระองค์จะทรงทำในชีวิตของเขา

– ผู้ที่ติดตามพระองค์ เพื่อจะได้ทุกสิ่ง จะได้เห็นเพียงแค่เศษๆผลของการอัศจรรย์ที่พระองค์ ทรงกระทำในชีวิตของผู้อื่น

– วันนี้ เราติดตามพระองค์ เพื่อจะได้พระองค์ หรือ เพื่อจะได้สิ่งทั้งปวง?

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:26) { ไม่รู้ความจริง }

แนวคิด :

– พระเยซูไม่ได้ตอบคำถาม แต่พระองค์บอกสิ่งที่สำคัญกว่าคำตอบ แก่พวกเขา

– “เราบอกความจริงแก่เท่าน” ท่านไม่รู้ตัว เราบอกแก่ท่านถึงความจริงที่ท่านยังไม่รู้ หรือยังเข้าใจผิด

– พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาคิดว่า “พวกเขาช่างเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า จึงดั้นด้นออกตามหา รับบีจากพระเจ้าจนมาถึงที่นี่”

– ใน ลก. 11:29 พระเยซู​ตรัส​ว่า “คน​ยุค​นี้​เป็น​คน​ชั่ว​มี​แต่​แสวงหา​หมาย​สำคัญ …”  คือว่าถ้าเป็นพวกแสวงหาหมายสำคัญนั่นก็แย่แล้ว เพราะแสวงหาหมายสำคัญแทนที่จะแสวงหาพระองค์ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า

– แต่ฝูงชนนี้ แย่หนักกว่าอีก พวกเขาไม่ได้แสวงหาหมายสำคัญด้วยซ้ำไป แต่แสวงหาอาหาร(ยน.6:27)

การประยุกต์ใช้ :

– หลายครั้งเราเข้าใจผิด ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นการแสวงหาพระเจ้า แต่ความจริงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง จากกิจกรรมฝ่ายวิญญาณที่เราทำนั้น (อาจจะเป็นการหาชื่อเสียง,หาการยอมรับ,หาคำชมจากมนุษย์,หาแฟน,หาโอกาสทางธุรกิจ,หาโอกาสได้แสดงความสามารถให้คนได้เห็น,ฯลฯ)

– พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเปิดเผย “ความจริง” ให้แก่เราได้ (ยน. 16:13 เมื่อ​พระ​วิญญาณ​แห่ง​ความ​จริง​จะ​เสด็จ​มา​แล้ว ​พระ​องค์​จะ​นำ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ไปสู่​ความ​จริง​ทั้ง​มวล …​)

– ให้เราถ่อมใจลง เปิดใจออก ขอพระวิญญาณเปิดเผยความจริงแห่งแรงจูงใจที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ในใจของเรา ซึ่งเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ว่า เรากำลังแสวงหาพระเจ้าอยู่

– หากแรงจูงใจนั้นถูกต้องต่อพระเจ้า ให้ขอบคุณพระเจ้า

– หากแรงจูงใจนั้นไม่ถูกต้องต่อพระเจ้า นี่เป็นเวลา กลับใจใหม่ สารภาพ ขอโทษพระเจ้า และขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยเราเปลี่ยนแปลงท่าทีในใจของเราใหม่ ให้ถูกต้องต่อพระเจ้าที่รัก

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:27) { ท่านกำลังหาอะไรอยู่ในโลกนี้? }

แนวคิด :

– พวกยิวตามหาพระเยซูเพื่อได้อาหาร แต่พระเยซูเตือนเขาว่า อาหารที่เขาแสวงหาในที่สุดมันก็จะเสื่อมสูญไป เขาควรหาอาหารสำหรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสูญไป

– อาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้ามอบสิทธิให้พระเยซูเป็นผู้มอบอาหารนี้แก่มนุษย์

– อาหารนั้นก็คือ พระเยซู นั่นเอง(ยน. 6:51)

การประยุกต์ใช้ :

– ร่างกาย ต้องการอาหาร เพื่อจะไม่อ่อนแรง ฉันใด

– จิตวิญญาณ ก็ต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะมีกำลัง ฉันนั้น

– ร่างกายในที่สุดจะเสื่อมสูญไป อาหารของร่างกายก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป

– จิตวิญญาณ คงอยู่นิรันดร์ อาหารแท้สำหรับจิตวิญญาณ จึงต้องเป็นอาหารนิรันดร์

– พระเยซู เป็น อาหารนิรันดร์

– การเติมเต็มชีวิต ด้วยสิ่งของชั่วคราวในโลกนี้ ไม่มีทางทำให้ส่วนลึกที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือ จิตวิญญาณ ถูกเติมเต็มและมีกำลังขึ้นได้

– มีแต่การพบกับพระเยซู การให้พระเยซูเข้ามามีส่วนในชีวิตของเราเท่านั้น(เหมือนอาหารเข้าไปมีส่วนในร่างกาย) จึงจะทำให้ชีวิตพบกับความอิ่มบริบูรณ์ที่แท้จริง และพบกับจิตวิญญาณที่มีกำลังในพระเจ้า

– วันนี้ เรากำลังแสวงหาสิ่งใด?

– แสวงหาสิ่งของในโลกนี้ ซึ่งยิ่งแสวงหายิ่งหิวไม่เคยเคยทำให้อิ่มใจได้เลย

– หรือ แสวงหาพระเยซู ผู้ทำให้ชีวิตของเราพบกับความอิ่มบริบูรณ์จากภายในอย่างแท้จริง

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:28) { แสวงหาคนละวิธี }

แนวคิด :

– ข้อก่อนหน้านี้พระเยซูบอกพวกยิวว่า อย่าหาอาหารที่เสื่อมสูญ แต่ จงหาอาหารที่คงทน

– การหาอาหารที่เสื่อมสูญ(อาหารสำหรับร่างกาย) พวกเขาหาได้ โดยการทำงาน

– ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า การหาอาหารที่คงอยู่(อาหารนิรันดร์สำหรับจิตวิญญาณ) พวกเขาก็คงหาได้ โดยการทำงานอะไรพิเศษบางอย่างเช่นกัน

– พวกเขาจึงถามพระเยซูว่า พวกเขา​จะ​ต้อง​ทำ​อะไร​บ้าง​ถึง​จะ​ทำ​งาน​ของ​พระ​เจ้า​ได้? เพื่อเขาจะได้อาหารนิรันดร์ของพระเจ้า

– สำหรับคำถามนี้ พระเยซูยินดีตอบพวกเขาในข้อถัดไป ด้วยคำตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร ก็แค่วางใจ

การประยุกต์ใช้ :

– พวกยิวเข้าใจผิด คิดว่า จะแสวงหาอาหารฝ่ายวิญญาณ ได้ด้วยลักษณะแบบเดียวกับการแสวงหาอาหารฝ่ายโลก

– วิธีของพระเจ้าไม่เหมือนวิธีของโลก

– วิธีที่จะแสวงหาพระเจ้า ก็ไม่เหมือนวิธีหาสิ่งของในโลกนี้

– วิธีที่จะแสวงหาพระเจ้า ไม่อาจทำตามวิธีที่เราคุ้นเคยของโลกนี้ได้ แต่ต้องใช้วิธีที่พระคำของพระเจ้าบอกไว้ ซึ่งมักแตกต่างกับวิธีของโลกอย่างสิ้นเชิง

-เช่น การทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่ใช่ทำอะไรให้สำเร็จเยอะๆ แต่เป็นการไว้วางใจในพระเยซูเยอะๆต่างหาก

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:29) { งานที่พระเจ้ายอมรับ }

แนวคิด :

– พระเยซูไม่ได้ตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร นั่งอยู่เฉยๆไม่ต้องทำการทำงานอะไร

– แต่หมายถึง การกระทำการงานที่จะทำให้ได้รับอาหารที่คงทน(ชีวิตนิรันดร์) มีแค่หนทางเดียวคือ การวางใจในพระบุตรของพระเจ้าสำหรับการรอดพ้นบาป

การประยุกต์ใช้ :

– การกระทำที่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า ก็คือการกระทำด้วยความวางใจในพระเยซู

– การกระทำใดๆ การรับใช้ใดๆ ที่ปราศจากการวางใจในพระเยซู ย่อมไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะ การไม่วางใจผู้ใดเป็นการดูถูกผู้นั้น

– เราไม่สามารถ รับใช้พระเจ้า พร้อมกับดูถูกพระเจ้าไปด้วย

– ไม่ว่าจะทำการงานสิ่งใด จงร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ แล้ววางใจในพระองค์สำหรับการทำการงานเหล่านั้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:30) { ยังไม่พอสำหรับการวางใจ }

แนวคิด :

– ก่อนหน้านี้พระเยซูบอกพวกยิวว่า พวกเขาไม่ได้แม้แต่มาตามหาหมายสำคัญ แต่มาตามหาอาหาร(ยน.6:26)

– พระเยซูสอนเขาว่า อย่าทำเพื่อได้อาหาร แต่จงทำเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งได้มาด้วยการวางใจในพระเยซู (ยน.6:27-29)

– พวกเขาจึงบอกพระเยซูว่า ถ้างั้นขอหมายสำคัญละกัน เอาแบบที่เป็นอาหารด้วยนะ(ยน.6:31) [ฮา…คิดได้ไง]

– พวกเขาต้องการเห็นก่อน แล้วจึงจะพิจารณาว่า จะวางใจในพระเยซูดีไหม

– แต่ในวิถีของพระเจ้า เป็นวิถีแห่งความเชื่อ ต้องวางใจก่อน จึงจะเห็นได้

– แท้จริงพวกเขาเห็นสิ่งที่พระเยซูทำมามากมายแล้ว คนป่วยมากมายรับการรักษาอย่างอัศจรรย์(ยน.6:2) และเลี้ยงฝูงชนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเพียง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว

แต่ดูเหมือนนั่นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะตัดสินใจวางใจในพระเยซู

การประยุกต์ใช้ :

– สิ่งที่พระเยซูทรงทำในชีวิตของเราที่ผ่านมา เพียงพอหรือยัง สำหรับการที่เราจะวางใจในพระองค์หมดหัวใจของเรา?

– ถ้าเพียงพอ แล้ววันนี้ เราวางใจในพระองค์จริงๆแล้วหรือยัง?

– ยิ่งเราวางใจ เราจะยิ่งเห็นการอัศจรรย์ในชีวิตของเรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:31) { ตามวิธีของพระองค์ }

แนวคิด :

– พวกยิวอธิบายต่อว่า ในอดีตโมเสสก็ทำอัศจรรย์เกี่ยวกับการกิน คือให้มานาจากสวรรค์แก่บรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งไม่ใช่แค่เลี้ยงผู้ชาย 5,000 คน เพียงแค่มื้อเดียว แต่เลี้ยงคนนับล้านทุกมื้อตลอด 40 ปี

– พวกเขาบอกว่า ถ้าพระเยซูเป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า ก็ขอให้ พระเยซูทำอัศจรรย์เกี่ยวกับอาหาร ให้แก่พวกเขาแบบนั้นเหมือนกัน

– พวกเขาตั้งเงื่อนไข ตามความคิดของมนุษย์ เพื่อให้พระองค์สำแดงพระองค์ตามวิธีของเขา

การประยุกต์ใช้ :

– ตราบใดที่เรา ตีกรอบว่า พระเจ้าต้องทำแบบนี้เท่านั้น เราถึงจะเชื่อ เราจะไม่ได้พบสิ่งนั้น และเราจะไม่มีทางมีความเชื่อ

– เพราะลำดับและท่าที มันผิด

– เราต้อง เชื่อ และ ยกให้พระองค์สำแดงพระองค์ด้วยวิธีการของพระองค์ แล้วเราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:32) { มีของแท้ แต่กลับอยากได้เทียม }

แนวคิด :

– พระเยซูตอบพวกยิวว่า

# อาหารนั้น(มานา)ไม่ใช่โมเสสให้แก่บรรพบุรุษของเขาแต่เป็นพระเจ้าประทานให้

# อาหารนั้น ไม่ใช่อาหารแท้

# แต่วันนี้ พระเจ้าประทานอาหารแท้จากสวรรค์ ซึ่งดีกว่าอาหารนั้น มากมายนัก แก่พวกเขาแล้ว

– เหตุที่พระองค์ตอบเช่นนี้ เพราะพวกเขาอยากให้พระเยซูให้อาหารแบบมานาแก่พวกเขา ทั้งที่พระเจ้าได้ประทานสิ่งที่ดีกว่าอาหารนั้นแก่พวกเขาแล้ว คือ พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :

– บ่อยครั้งพระเจ้าได้ประทานสิ่งที่ดีเลิศแก่เราแล้ว แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่า ไม่รู้จักชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ได้รับมานั้น แต่กลับตีโพยตีพาย สำหรับสิ่งที่ไม่ได้รับ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่เราแล้วในวันนี้นั้น ดีเลิศกว่าสิ่งที่เราปรารถนาที่จะได้รับมากมายนัก

– ถ่อมใจลง อธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปิดตาใจของเรา ให้เห็นพระพรแท้ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

– พระเจ้ารักเราอย่างที่สุด ดังนั้น เหตุการณ์ที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดกับเราในวันนี้ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราอย่างแน่นอน

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:33) { ผู้ประทานชีวิต }

แนวคิด :

– อาหารแท้ของพระเจ้า ไม่ได้แค่ลงมาจากท้องฟ้า(อย่างมานา) แต่ลงมาจากสวรรค์

– อาหารแท้ของพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นบุคคล

– อาหารแท้ของพระเจ้า จะทำให้ผู้ที่รับอาหารนั้นเข้าในชีวิต กลายเป็นผู้มีชีวิต

การประยุกต์ใช้ :

– อาหารที่มาจากโลกนี้ ทำให้มีชีวิตในโลกนี้(ชีวิตกายภาพ) แต่อาหารจากสวรรค์ ทำให้มีชีวิตในสวรรต์(ชีวิตนิรันดร์)

– เมื่อเรามีสิ่งของจากโลกนี้ เราอาจสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ตามปกติ แต่ถ้าเราไม่มีพระองค์ผู้มาจากสวรรค์ เราไม่มีทางพบกับชีวิตที่แท้จริงได้

– คริสตชนผู้ถอยห่างจากพระคริสต์ แม้ดูเหมือนจะมีชีวิต แต่ก็ไร้ชีวิต

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:34) { ตาเปิด แต่ ใจปิด }

แนวคิด :

– เมื่อพวกยิวได้ยินที่พระเยซูบอก ตาเขาโตขึ้นทันที แต่ใจยังคงปิดต่อไป

– พวกเขา พูดคล้ายกับ หญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ “ท่าน​เจ้า​คะ ขอ​น้ำ​นั้น​ให้​ดิ​ฉัน​เถิด เพื่อ​ดิ​ฉัน​จะ​ได้​ไม่​กระ​หาย​อีก และ​จะ​ได้​ไม่​ต้อง​มา​ตัก​ที่​นี่” ยน. 4:15

– พวกเขาทูลว่า “ท่าน​เจ้า​ข้า ขอ​โปรด​ให้​อาหาร​นั้น​แก่​เรา​ตลอด​ไป​เถิด”

– ที่รู้ว่า เขาตาโต เพราะ พวกเขาไม่เรียกพระองค์ว่า “รับบี” แล้ว (ข้อ25) แต่เปลี่ยนมาเรียก “ท่านเจ้าข้า” (Lord หรือ พระองค์เจ้าข้า)

– พระเยซูเพิ่งบอกว่า อย่าหาอาหาร พระเจ้าประทานผู้หนึ่งให้แก่พวกเขา ซึ่งจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เขา

– แต่ดูเหมือน เขาจะได้ยิน แต่ “อาหาร” “นิรันดร์” [ฮา…ยิ่งนัก]

– เขาจึงขอพระองค์ให้ประทาน“อาหาร”ให้แก่เขาเป็นนิจ“นิรันดร์”

– พวกเขาไม่ได้มาหาพระองค์เพราะวางใจ แต่เพราะหวังจะได้อาหาร ในข้อ41-42 เมื่อเขาพบว่าไม่ได้อาหารแน่แล้ว เขาก็หันมาซุบซิบนินทาพระองค์ในทันที

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อเรามาหาพระเจ้า โดยมีเป้าหมายของเราเองในใจ ว่า เพราะอยากได้สิ่งนี้ หรือ อยากเป็นสิ่งนั้น

– เรากำลังยืนอยู่บนหน้าผาที่แสนอันตราย เพราะวันใดที่เราไม่ได้ สิ่งที่เราคาดหวัง ความเชื่อในพระเจ้าของเรา ก็จะตกลงไปในหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ จนอาจถึงกับละทิ้งพระองค์ผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิตได้ในที่สุด

– พวกยิว มาหาพระเยซู โดยไม่สนใจว่าพระองค์นำอะไรมาให้ พวกเขาสนใจอย่างเดียว คือ เขาอยากได้อะไร

– เราควรมาหาพระเยซู เปิดตา และ เปิดใจ ว่า พระองค์นำสิ่งใดมาให้แก่เรา แล้วรับเอาสิ่งแสนประเสริฐนั้น จากพระองค์ โดยผ่านการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์

– พระเยซู นำสิ่งเหล่านี้มาให้

>> ชีวิตนิรันดร์ , การพ้นจากบาป , การพ้นการเป็นทาสบาป , ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า , สันติสุขในพระเจ้า , ชีวิตใหม่ในพระเจ้า ที่ดำเนินตามพระวิญญาณ และเกลียดชังวิถีแห่งโลกนี้ , การเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้อย่างชื่นชมยินดี(ยน. 16:33) และการอื่นๆในทำนองนี้

>> ผู้ที่คาดหวังสิ่งเหล่านี้ เมื่อมาหาพระเยซู จะไม่มีวันผิดหวังเลย

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:35) { ไม่หิว ไม่กระหาย }

แนวคิด :

– พวกยิวปรารถนา อยากได้อาหารวิเศษนั้น พระเยซูจึงบอกว่าเขา พระองค์นั่นแหละเป็นอาหารแห่งชีวิต นั้น

– ใครก็ตามที่มาหาและวางใจ ในพระองค์ พระองค์สัญญาว่า จะไม่หิวและไม่กระหาย อีกเลย

– หิวและกระหาย ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของร่างกาย ซึ่งจะคงอยู่แค่ชั่วคราว แต่เป็นเรื่องของจิตใจและจิตวิญญาณ ซึ่งจะคงอยู่นิรันดร์ (เพราะเป็นอาหารสำหรับชีวิตนิรันดร์)

– ผู้ที่มาหาพระเยซู วางใจในพระองค์ จะพบกับจิตใจและจิตวิญญาณที่อิ่มบริบูรณ์ เขาจะไม่หิวกระหายอยากได้สิ่งใดๆอีกเลย นอกจากพระองค์

– เพราะเมื่อใครอยู่ในพระเยซูอย่างวางใจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเรื่องใดๆ หรือปรารถนาสิ่งใดๆ อีกต่อไป พระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งของเขา

การประยุกต์ใช้ :

– พวกยิว มาหาอาหาร ไม่ได้มาหาพระเยซู พวกเขาอยากได้ยินพระองค์ตรัส แต่ไม่วางใจในพระองค์(ข้อ36)

– ดังนั้น ถีงแม้เขาได้เจอพระเยซูแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงหิว ยังคงกระหาย ยังคงอยากได้ ยังคงไม่พบกับความอิ่มบริบูรณ์ที่พระเยซู พร้อมที่จะมอบให้อยู่ดี

– วันนี้ เรามาหาพระเยซู และ วางใจในพระเยซู จริงๆหรือยัง?

– อย่าเพิ่งเชื่อคำตอบที่ใจเราคิด แต่ให้สังเกตจากผลของชีวิตที่เกิดขึ้น

– วันนี้ ถ้าหาก เรายังหิว เรายังกระหาย จิตใจของเรายังไม่พบกับความอิ่มใจ จิตใจของเราเต็มไปด้วยความวิตกนั่นกังวลนี่ จิตใจตรอมตรมเพราะเหตุยังไม่ได้สิ่งที่ปรารถนานั้น

– และถ้าพระองค์พูดความจริง ในยน.6:35 (ซึ่งจริงแท้แน่นอนอย่างที่สุด)

– สรุปได้อย่างฟันธงว่า “เรายังไม่ได้มาหาพระองค์จริงๆ หรือ เรายังไม่ได้วางใจในพระเยซูอย่างแท้จริง”

– “กลับใจ!!! อย่าเดินต่อไปในทางของพวกยิวเหล่านั้น”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:36) { ก็ไม่ทำอยู่ดี }

แนวคิด :

–  ​พระเยซู​บอก​พวกยิว​แล้ว >> พวกเขาก็​เห็น​แล้ว​ => แต่​พวกเขาก็ไม่เชื่อ ไม่​วางใจอยู่ดี

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูบอกเราแล้ว ว่า แสวงหาพระเจ้าก่อน อย่าหาสิ่งทั้งปวงก่อน >> เราก็เห็นแล้วจากประสบการณ์ใจชีวิตว่าทุกครั้งที่หาพระเจ้าก่อนมันได้ผลดี => แต่วันนี้เราก็ยังหาสิ่งทั้งปวงก่อนอยู่ดี

– พระเยซูบอกแล้ว ว่า มาหาพระเยซูด้วยความวางใจอย่างแท้จริง จะพบกับความอิ่มเอมในชีวิตและจิตใจ >> เราก็เห็นแล้ว เคยลองแล้ว วางใจพระเยซูช่างไร้ความกังวล => แต่วันนี้เราก็ยังไม่ยอมวางใจจริงๆอยู่ดี

– พระเยซูบอกแล้ว ว่า อย่าสะสมทรัพย์สมบัติสำหรับตนในโลกนี้ >> เราก็เห็นแล้ว เคยลองแล้ว ไม่ทำเพื่อของในโลกนี้ กลับได้รับพระพรมากมาย => แต่วันนี้เราก็ยังสะสมทรัพย์สมบัติ,ความก้าวหน้า,ความสำราญ ในโลกนี้อยู่ดี

– พระเยซูบอกแล้ว ว่า จง​อธิษ​ฐาน​เพื่อ​จะ​ได้​ไม่​ตก​อยู่​ใน​การ​ทด​ลอง >> เราก็เห็นแล้ว ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเราอธิษฐานอย่างจริงจัง มันก็ผ่านมาได้ทุกครั้งอย่างสวยงาม => แต่วันนี้เราก็ยังไม่อธิษฐานอยู่ดี

“กลับใจกันเถิด”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:37) { ไม่ทอดทิ้งกัน }

แนวคิด :

–  ​ทุกคนที่พระบิดาประทานให้แก่พระเยซู ก็จะมาหาพระเยซู

– พระเยซูเป็นของขวัญจากพระบิดาประทานแก่มนุษย์ และผู้เชื่อเป็นของขวัญจากพระบิดาประทานแก่พระเยซู

– และเมื่อเป็นของขวัญที่พระบิดาประทานแก่พระเยซู พระองค์จึงจะทรงดูแลรักษาอย่างดีที่สุด

– ดังนั้นผู้ที่มาหาพระเยซู ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร อ่อนแอขนาดไหน ไม่เอาไหนมากเพียงใด พระองค์ก็จะไม่ทรงทิ้งเขาเลย

– เราจึงไม่เคยเห็นพระเยซูทอดทิ้งใคร เคยเห็นแต่ใครบางคนที่ทิ้งพระเยซูไป

การประยุกต์ใช้ :

– เราเป็นของขวัญจากพระบิดาประทานแด่พระเยซู แน่นอนอย่างที่สุดพระเยซูดูแลของขวัญนี้อย่างสุดกำลัง อย่างดีที่สุด… ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลสิ่งใด พระเยซูจะทรงดูแลชีวิตของเราเอง

– ผู้ที่มาหาพระเยซู พระองค์สัญญาแล้วว่า จะไม่ทอดทิ้งเขา จะไม่ขับไล่ไสส่งเขาไปเสีย ตราบใดที่ยังคงต้องการพระองค์ ไม่ทิ้งพระองค์ไปเสียเอง

– วันนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นเช่นไร , อ่อนแอแค่ไหน , พลาดพลั้งครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็พลาดอีกแล้ว , ยังไม่เอาไหนเลย , ยังทำตัวแบบนี้อยู่เลย

– ถ้าเรายังคงมาหาพระเยซู พระองค์จะไม่ปฏิเสธเรา หรือขับไสไล่ส่งเราไป

– แน่นอนพระเยซูย่อมไม่เห็นด้วยกับเราในการบาปที่เราทำนั้น แต่พระองค์จะไม่ทิ้งเรา พระองค์จะยังคงโอบกอดเราไว้ด้วยพระเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยแก่เรา และพร้อมที่จะช่วยเราให้กลับเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:38) { ไม่มีวันทอดทิ้งเรา }

แนวคิด :

– พระเยซูตอกย้ำว่าจะไม่มีทางทอดทิ้งผู้ที่มาหาพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้า เพราะว่า พระเยซูมาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา

– ถ้าพระเยซูมาทำตามพระประสงค์ของพระองค์เอง พระองค์ก็คงไม่มีทางทอดทิ้งคนเหล่านั้นที่มาหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด

(ยน. 13:1 …พระ​องค์​ทรง​รัก​บรร​ดา​คน​ของ​พระ​องค์​ที่​อยู่​ใน​โลก​นี้ พระ​องค์​ทรง​รัก​เขา​ทั้ง​หลาย​จน​ถึง​ที่​สุด)

– แต่ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูไม่ได้มาทำตามพระประสงค์ของพระองค์เอง แต่มาทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งพระประสงค์ของพระบิดาคือ ให้พระเยซูรักษาคนที่บิดามอบไว้ ไม่ให้หายไปสักคนเดียว(ข้อ39) และให้เขาทุกคนได้รับชีวิตนิรันดร์(ข้อ40)

– ดังนั้น จึงเป็นไม่ได้เลย ที่พระเยซูจะทอดทิ้ง หรือ ขับไสไล่ส่ง ผู้ที่มาหาพระองค์ด้วยจริงใจ

การประยุกต์ใช้ :

– แม้พระเยซู ไม่ต้องทำตามใจของบิดา พระองค์ก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา เพราะพระองค์ทรงรักเราอย่างที่สุด

– แต่แน่นอนที่สุด พระเยซูมาเพื่อทำตามใจของพระบิดา พระองค์จึงไม่มีวันทอดทิ้งเรา เพราะพระทัยพระบิดาคือ ต้องไม่ทอดทิ้งเรา

– ดังนั้น มั่นใจได้เลยว่า ตราบใดที่เรายังเต็มใจมาหาพระองค์ ไม่ทิ้งพระองค์ไป “พระองค์ไม่มีวันทอดทิ้งเรา”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:39) {พระประสงค์ของพระบิดา }

แนวคิด :

– จุดประสงค์เดียวที่พระเยซูมาบังเกิดในโลกนี้ คือ เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา

– พระประสงค์นั้นก็คือ ให้ช่วยคนที่พระบิดามอบไว้ [ได้แก่ ทุกคนที่วางใจในพระองค์(ข้อ40)] ให้พ้นความพินาศ แต่ เป็นขึ้นมาจากความตาย

– พระเจ้าทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่งสูงสุด ทรงกระทำทุกสิ่งได้ แล้วคิดดูสิ พระประสงค์ของพระองค์ที่พระองค์ตั้งใจให้เกิดขึ้น จนลงทุนด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดในกัลปจักรวาล(พระบุตรองค์เดียวของพระองค์) มีหรือจะไม่สำเร็จ

– อสย. 9:7 “…ความ​กระตือรือร้น​ของ​พระ​เจ้า​จอม​โยธา​จะ​กระทำ​การ​นี้​”

– ดังนั้น มันจะสำเร็จอย่างแน่นอน คือ เราผู้วางใจในพระองค์จะพ้นความพินาศ และจะเป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้าย

การประยุกต์ใช้ :

– พระประสงค์ของพระบิดา คือ ช่วยคนพ้นนรก เข้าสู่สวรรค์

– พระเยซูทรงใช้ทั้งชีวิตของพระองค์ เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดานั้น

– เราผู้เป็นบุตรของพระเจ้า สมควรอย่างยิ่งที่จะทำอย่างเดียวกัน คือ ใช้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในชีวิตของเรา เพื่อ ช่วยคนพ้นนรก เข้าสู่สวรรค์

– วันนี้ เราจะอยู่เพื่อประสงค์ของตนเอง หรือ เพื่อพระประสงค์ของพระบิดา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:40) { วางใจในพระเยซู }

แนวคิด :

– ไม่เพียงพอสำหรับการแค่ได้เห็นพระเยซู หรือได้ยินสิ่งที่พระเยซูสอน พวกเขาจำเป็นต้องวางใจในพระองค์ด้วย

– พระบิดาประสงค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ การมีชัยชนะเหนือความตายโดยเป็นขึ้นมาจากความตาย แก่มนุษย์ แต่มนุษย์จำเป็นต้องวางใจในพระเยซู จึงจะสามารถมีคุณสมบัติที่จะรับของขวัญล้ำค่านี้ได้

การประยุกต์ใช้ :

– สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับชีวิตคริสเตียน คือ การวางใจในพระเยซู

– แต่ทุกวันนี้ เราดำเนินชีวิต ห่างไกลจากคำว่า “วางใจในพระเยซู” ไปไกลเหลือเกิน

– ได้เวลาแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง โดยการหันกลับมา ดำเนินชีวิตในการวางใจพระเยซู

– ให้การพัฒนา “การวางใจในพระเยซู” กลายเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา สำคัญมากกว่า การพัฒนารายได้ , การพัฒนาความรู้ , การพัฒนาครอบครัว , การพัฒนาความสามารถทั้งหลายทั้งปวง ,ฯลฯ

– ให้การพัฒนา “การวางใจในพระเยซู” สำคัญที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งใดจะผ่านเข้ามาในชีวิต ใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อพัฒนา “การวางใจในพระเยซู” ในชีวิตของเรา

– ไม่เพียงพอที่จะเพียงแค่ ได้ยิน ได้อ่าน ได้รู้เรื่องของพระเยซู สิ่งที่มิอาจขาดไปได้เลยจากชีวิตของเราคือ “วางใจในพระเยซู”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:41) { เริ่มซุบซิบ }

แนวคิด :

– ก่อนหน้าพระเยซูอธิบายหลายอย่างให้พวกยิวฟัง สาระสำคัญคือ  ให้วางใจในพระองค์แล้วจะได้ชีวิตนิรันดร์

– แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาจับใจความได้ หรือสนใจ ก็ยังคงเป็นเรื่องอาหารอยู่ดี

– ว่า “พระเยซูจะเป็นอาหารจากสวรรค์ได้อย่างไร?” เมื่อเริ่มรู้ตัวว่า อดได้อาหารวิเศษมากิน แน่แล้ว ท่าทีของเขาต่อพระเยซูก็เริ่มเปลี่ยนไป

– จาก “รับบี ท่านอาจารย์”(ข้อ25) มาเป็น บ่นซุบซิบนินทา

การประยุกต์ใช้ :

– หากใครมาหาพระเยซู ด้วยท่าทีแห่งผลประโยชน์ฝ่ายโลก วันใดที่เขาหมดหวังที่จะได้สิ่งนั้น ท่าทีของเขาต่อพระเยซู ก็จะเปลี่ยนไป

– จากยกย่องเป็นตำหนิ จากขอบคุณเป็นพร่ำบ่น

– จากติดสนิท เป็นถอยห่าง

– จากวางใจ เป็นไม่เชื่อใจ

– ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตือนเรา และทรงช่วยเรากลับใจ หากวันใดที่เรามีท่าทีที่ไม่ถูกต้องในการมาหาพระเยซู

– ขอให้เรามีท่าทีที่ถูกต้องในการมาหาพระเยซู เพราะรักพระองค์ ไม่ใช่รักสิ่งของในโลกนี้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:42) { มาตรฐานการพิจารณา }

แนวคิด :

– พวกยิวรู้จักกับโยเซฟและมารีย์ ดังนั้นเมื่อเขาพิจารณาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ พระเยซูจะมาจากสวรรค์ ทั้งที่พ่อแม่ของพระองค์เป็นมนุษย์ในโลกนี้

– พวกเขาพิจารณาพระเยซู ตามมาตรฐานของโลก ตามมุมมองของโลก เขาจึงไม่อาจรู้จักกับพระเยซูได้จริงๆ และยิ่งไม่อาจวางใจในพระเยซูได้

การประยุกต์ใช้ :

– อ.เปาโล กล่าวไว้ใน 2คร. 5:16 ว่า “…​เมื่อ​ก่อน​เรา​เคย​พิจาร​ณา​พระ​คริสต์​ตาม​มาตร​ฐาน​ของ​โลก​ก็​จริง แต่​เดี๋ยว​นี้​เรา​จะ​ไม่​พิจาร​ณา​พระ​องค์​เช่น​นั้น​อีก”

– เมื่อ อ.เปาโล พิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลก เขาจึงไม่รู้จักกับพระเยซู

– วันนี้ เมื่อเราพิจารณา สิ่งต่างๆ คนต่างๆ หรือสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวเรา อย่าให้เราพิจารณาตามมาตรฐานของโลก

– ไม่ใช่ตามสายตาที่มองเห็น แต่ตามสายตาฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสำแดงแก่เรา เมื่อเราร้องขอเชิญพระองค์ให้สำแดงแก่เรา

– ด้วยคำถามง่ายๆว่า “ข้าแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงโปรดสอนข้าพระองค์เถิดว่า พระองค์ประสงค์จะเปิดเผยสิ่งใดแก่ข้าพระองค์ ผ่าน สิ่งของ บุคคล หรือ สถานการณ์ ที่ข้าพระองค์พบในวันนี้”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.6:43) { ไขข้อข้องใจ }

แนวคิด :

– เมื่อพวกยิวสงสัยในสิ่งที่พระเยซูตรัส ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อแก้ความสงสัยนี้ คือ ซุบซิบกัน ปรึกษา พูดคุย วิเคราะห์กันเอง

– แต่พระเยซู บอกพวกเขาว่า อย่าทำเช่นนั้น คือ อย่าพยายามหาคำตอบด้วยการวิเคราะห์กันเอง เขาควรนำสิ่งยังสงสัยอยู่นั้น มาถามพระเยซูโดยตรง

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อเกิดความสงสัยเกิดขึ้น ในสถานการณ์ในชีวิต “ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย?”

– สิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่การคิดเอง เออเอง ว่า เพราะอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้

– แต่เราควรนำความสงสัยนั้นมาถามพระเยซู ขอการสำแดงการเปิดเผยจากพระองค์ เกี่ยวกับข้อสงสัยของเรานั้น

– แล้ว รอคอยและสังเกต คำตอบที่มาจากพระองค์