แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:1) { พระองค์ทรงเห็น }

แนวคิด :
– หลังจากพระเยซูเสด็จหลบเลี่ยงจากการถูกหินขว้างโดยพวกยิวในบริเวณพระวิหาร(8:59) ขณะที่พระองค์กำลังมีธุระสำคัญคือ หลบเลี่ยงพวกยิว พระองค์ทรงเห็นชายขอทานคนหนึ่งนั่งอยู่(ข้อ 8) เขาตาบอดตั้งแต่กำเนิด

– ซึ่งหมายความว่า เขาคงไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนเลย ไม่แคยห็นหน้าคนมาก่อนเลย และเขาไม่เคยเห็นอะไรมาก่อนเลยในชีวิต นอกจากความมืดที่แสนอ้างว้าง

– เขาคงทำอาชีพอื่นไม่ได้นอกจากเป็นขอทาน

– ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพ่อแม่ของเขา ก็ไม่ค่อยจะสนใจใยดีเขานัก (ข้อ 20-22)

– ช่างเป็นชีวิตที่แสนน่าสงสารและสิ้นหวัง แสนมืดมิด

– ท่ามกลางความมืดมิดมองไม่เห็นอะไรนั้น ยน.9:1 กล่าวว่า “พระเยซูทรงเห็นเขา”

– ยามที่เขาไม่เห็นใคร ยามที่ไม่เห็นความหวังใดๆ แต่พระเยซูทรงเห็นเขา

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้ แม้เราไม่เหลือใคร ไม่เห็นใครที่จะช่วยเราได้ ไม่เห็นทางออก มองไปทางไหนก็ดูเหมือนจะมืดมิดไปหมด แต่ “พระเยซูทรงเห็นคุณ”

– เมื่อพระเยซูเห็นเราแล้ว พระองค์จะไม่อยู่เฉยแน่นอน พระองค์จะเสด็จมาช่วยเรา

– งานนี้ไม่เกี่ยวกับว่าคนตาบอดเห็นพระเยซูชัดแค่ไหน แต่ขึ้นกับว่าพระเยซูทรงเห็นเขาชัดเจนแค่ไหน ซึ่งพระองค์ทรงเห็นและรู้จักเขาดีที่สุด

– วันนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าเราเข้มแข็งหรืออ่อนแอแค่ไหน หรือเราใช้การไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง ผิดพลาด ไม่เอาไหน มากขนาดไหน แต่เกี่ยวกับว่า พระเยซูทรงเห็นเราหรือไม่

– พระเยซูทรงเห็นฉันไหมว่าฉันสิ้นหวังสักเพียงใด?

– “พระองค์ทรงเห็น” และพระองค์จะไม่อยู่เฉย จะรีบมาช่วยเราอย่างแน่นอน อย่ากลัวเลย

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:2) { คำถามผิด }

แนวคิด :
– เมื่อพระเยซูทรงเห็นชายตาบอดคนนั้น สาวกบางคนคงไปคุยกับเขาหรืออาจจะรู้จักชายคนนี้มาก่อน จึงทราบว่าเขาตาบอดมาตั้งแต่เกิดแล้ว

– สาวกจึงถามพระเยซูว่า ที่เขาตาบอดตั้งแต่เกิดเพราะใครทำบาป?

– หลักความเชื่อของพวกฟาริสี เชื่อในเรื่อง  pre-existent state(สภาวะก่อนเป็นมนุษย์) เชื่อว่าจิตวิญญาณดำรงอยู่ก่อนที่คนๆนั้นจะเกิดมา และเพราะบาปในจิตวิญญาณนั้นคนๆนั้นจึงถูกส่งเกิดมาเพื่อรับการลงโทษเพราะบาปนั้น ( จาก Adam Clarke’s commentary and critical notes on the Bible)

– ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ขัดกับหลักคำสอนในพระคัมภีร์

– แต่เนื่องจากพวกฟาริสีสอนความคิดเช่นนี้ในสังคม พวกสาวกจึงถามพระเยซูว่า ที่เขาตาบอดตั้งแต่เกิดเพราะบาปของเขาเอง หรือของพ่อแม่?

– แต่การถามคำถามนี้ นอกจากสาวกจะมีหลักความเชื่อที่ผิดแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังตั้งคำถามผิดอีกด้วย

– สาวกไม่ควรถามหาคนผิด แต่ควรหาน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเหตุการณ์นี้

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้ เราตั้งคำถามผิดอยู่หรือเปล่า?

– อย่ามัวแต่หาคำตอบว่า ใครผิด? ทำไมถึงต้องเป็นเรา? ทำไมคนอื่นไม่เห็นเจอแบบนี้? ทำไมพ่อแม่ถึงทำกับฉันแบบนั้น? ทำไมคนนั้นถึงทำกับฉันแบบนี้? ทำไมฉันโง่ขนาดนี้? ทำไมฉันถึงไม่เหมือนกับคนนั้น? ฯลฯ

– เราควรตั้งคำถามใหม่ คำถามที่ถูกต้อง คือ “พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ฉันทำอย่างไรในเหตุการณ์นี้?”

– เปลี่ยนคำถาม แล้วจะพบคำตอบ ที่เปลี่ยนชีวิต

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:3) { ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ }

แนวคิด :
– พระเยซูตอบพวกสาวก สำหรับคำถามที่ว่า “คนนี้เกิดมาตาบอดเพราะบาปของใคร?” โดยตอบว่า คนนี้เกิดมาตาบอดไม่ใช่เพราะบาปของเขาหรือของพ่อแม่

– พระเยซูชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเจ็บป่วยไม่ได้เป็นผลมาจากบาปเสมอไป (ในพระคัมภีร์ก็มีตัวอย่าง เช่น โยบ , เปาโล , ทิโมธี , ฯลฯ)

– ในกรณีนี้ พระเยซูไม่ได้บอกว่า ชายคนนี้และพ่อแม่ของเขาไม่มีบาป แต่พระองค์บอกว่า วัตถุประสงค์ที่เขาต้องเกิดมาตาบอดเพื่ออะไร

– เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา

– เท่ห์สุดๆ!!! ขอทาน ตาบอด ผู้ไม่รู้หนังสือ ผู้ไร้อนาคต ผู้ไม่มีใครใส่ใจ แม้แต่พ่อแม่ของตนเอง คนนี้ที่พระเจ้าทรงใช้เป็นเครื่องมือทำพระราชกิจของพระเจ้า

– พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา ไม่ใช่แค่การที่คนตาบอดมองเห็น ธรรมดาๆนะครับ

– ขณะที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูและกำลังเพิ่งจะเอาหินขว้างพระเยซู แต่เพราะเหตุชายตาบอดไร้ค่า คนนี้ พระเยซูถูกสำแดงออกให้คนทั้งหลายเห็นความจริงว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าจริงๆ และแท้จริงแล้วพระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา จริงๆ

– ดูเหมือนงานที่ชายคนนี้ทำยิ่งกว่า การรับใช้ชั่วชีวิตของอ.เปาโลเสียอีก

– เขาทำอะไรหรือ?  >>> เขาก็แค่เกิดมาตาบอดไง !!! เท่านี้ก็มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับให้พระราชกิจของพระเจ้า ที่ประกาศว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮา”  สำเร็จผ่านตัวเขา

– สรรเสริญพระเจ้า!!!

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้ ไม่สำคัญเลยว่า เรากำลังตกอยู่สภาวะเช่นใด

– พระเจ้าผู้ทรงครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตของเรา เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าสำแดงออก ผ่านสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

– เราไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ต้องฉลาดเลอเลิศ ไม่ต้องเข้มแข็งแบบไม่เคยท้อถอย เราแค่เป็นอย่างที่เราเป็น นั่นก็เพียงพอแล้ว

– ที่เหลือก็คือ เชิญพระเยซู ทำให้สิ่งที่พระองค์ประสงค์จะทำในชีวิตของข้าพระองค์เถิด

– แค่นี้ก็เพียงพอให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของเราแล้ว

“ข้าแต่พระเยซูที่รัก ข้าพระองค์ขอยกสถานการณ์วันนี้ให้พระองค์เป็นผู้ควบคุมและจัดการ ขอวางใจในพระองค์ ขอยกให้พระองค์ทั้งหมด เชิญเถิดพระเจ้าข้า ขอทรงใช้สถานการณ์วันนี้ ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เถิด”

– เลิกท้อแท้ใจกับอดีตที่ผ่านมา แต่จงมองหา ปัจจุบันและอนาคต ที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:4) { ทำเมื่อยังมีโอกาส }

แนวคิด :
– พระเยซูทรงสอนสาวกว่า การทำพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ใช่คิดจะทำเวลาไหน ก็ทำได้ ต้องอยู่ในเวลาที่พระเจ้า กำหนดไว้เท่านั้น

– ตอนนี้เป็นกลางวัน คือ เป็นช่วงเวลาที่ พระเยซูยังไม่ถูกจับ ยังไม่ถูกตรึงตาย จึงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการทำพระราชกิจเกี่ยวกับ การเยียวยารักษาคนป่วย และการประกาศว่า พระองค์เป็นพระมาซีฮา

– แต่ต่อไปกลางคืนจะมาถึง คือ ช่วงเวลาที่ พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ช่วงนั้นจะไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการเยียวยารักษาคนป่วย

การประยุกต์ใช้ :
– ในการทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราทำ จะมีช่วงเวลาที่เรามีโอกาสที่จะทำได้ และจะมีช่วงเวลาที่โอกาสนั้นผ่านเลยไป

– อย่ามัวแต่รอ หรือนั่งฝันว่า อนาคตเราจะทำอะไรเพื่อพระเจ้าบ้าง เราจะทำสิ่งยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่จงเริ่มวันนี้

– คิดดูดีๆ วันนี้เรามีบางอย่างที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้เราทำบางอย่างเพื่อพระองค์ ตามสภาพ ตามสถานะที่เราเป็นอยู่วันนี้

– จงรีบฉวยโอกาสที่พระเจ้าโปรดประทานแก่เราในวันนี้ เพื่อทำงานรับใช้พระองค์เถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:5) { ตราบเท่าที่ยังมีโอกาส }

แนวคิด :
– พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า เมื่อพระองค์ยังอยู่ในโลกนี้ พระองค์ก็ยังคงทำหน้าที่ส่องสว่างแก่โลก

– ไม่ได้หมายความว่า ต่อไปในอนาคตพระองค์จะไม่เป็นความสว่างของโลกแล้ว

– แต่หมายความว่า ขณะที่พระองค์อยู่ในร่างกายนี้ พระองค์จะทำหน้าที่อย่างสัตยซื่อในการเป็นแสงสว่างแก่โลก

– เปรียบเหมือนกับ ดวงอาทิตย์ ตราบใดที่ยังอยู่เหนือท้องฟ้า ก็ไม่เคยหยุดที่จะทำหน้าที่ ฉายแสงและส่องความร้อนมายังโลก

– ตราบเท่าที่โอกาสยังมี พระองค์ก็ยังคงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อ คือ เป็นความสว่างของโลก (ซึ่งข้อนี้สอดคล้องกับบริบทในข้อ4 ว่าทำเมื่อยังมีโอกาส)

การประยุกต์ใช้ :
– พระเยซูได้วางแบบอย่างไว้แก่เรา ตราบเท่าที่ประตูยังเปิดอยู่ พระองค์ยังคงทำหน้าที่ที่พระบิดามอบหมายให้อย่างสัตย์ซื่อเต็มกำลัง

– วันนี้ อะไรคือภารกิจที่พระเจ้ามอบให้เรา หรือเคยมอบให้เราทำแล้วเราเก็บเข้าลิ้นชักไปแล้ว?

– ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา ที่เราปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้น ตื่นจากการหลงมัวเมาบางอย่าง ที่มันขโมยความตั้งใจไปจากชีวิตของเรา

– มันขโมย ความกระตือรือร้นที่จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าเคยมอบหมาย เคยใส่ใจในจิตใจของเรา ไปจากชีวิตของเรา

– วันนี้ เรายังมีโอกาสทำภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้แก่เรา แต่โอกาสนี้ไม่ได้อยู่ตลอดไป

– อย่ารอช้า รีบเร็วไว ตื่นขึ้นมา ทำตามนิมิตที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:6) { ด้วยวิธีของพระองค์ }

แนวคิด :
– เมื่อพระเยซูบอกสาวกว่าต้องทำพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อพระบิดามอบโอกาสให้ทำ จากนั้นพระเยซูจึงเริ่มทำพระราชกิจ คือประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮา

– พระองค์ทำการรักษา ชายขอทานตาบอดคนนั้น โดยทรงบ้วนน้ำลายลงดินแล้วทำเป็นโคลน เอามาทาที่ตาของเขา

– พระเยซูเคยใช้น้ำลายในการรักษาคนตาบอด ที่เบธไซดา ใน มก. 8:23 “พระ​องค์​จึง​ทรง​จูง​มือ​คน​ตา​บอด​ออก​ไป​นอก​หมู่​บ้าน เมื่อ​ทรง​บ้วน​น้ำ​ลาย​ลง​ที่​ตา​ของ​คน​นั้น​และ​วาง​พระ​หัตถ์​บน​ตัว​เขา​…” แต่ครั้งนี้วิธีแตกต่างออกไป

– คนโบราณสมัยนั้นเชื่อว่า น้ำลายเป็นยารักษาโรคด้วย แต่ไม่เคยมีใครใช้น้ำลายรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้ และจะไม่ทำการรักษาในวันสะบาโตเด็ดขาด

– พระเยซูใช้วิธีรักษาชายตาบอดนั้น ด้วยวิธีธรรมดา แต่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า และทำการในวันสะบาโต ในบริเวณพระวิหาร เพื่อประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮา

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ เป็นสิทธิของพระองค์ที่จะใช้วิธีไหนก็ได้ ตามที่พระองค์ประสงค์ เราไม่อาจกำหนดด้วยวิธีของเราเองได้

– กรณีนี้ เปรียบให้เห็นได้ว่า พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธการใช้ยารักษาโรค แต่โดยการใช้ยานั้นพระองค์ทำให้เกิดการอัศจรรย์ได้มากกว่าสรรพคุณของยานั้นๆ

– วันนี้ เมื่อเราอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วกำหนดว่าพระองค์ต้องตอบด้วยการอัศจรรย์แบบนี้เท่านั้น อาจไม่ถูกต้องนัก เป็นสิทธิของพระองค์ที่จะตอบด้วยวิธีไหนก็ได้

– ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ คือ อธิษฐาน แล้วก็ทำในส่วนที่เราทำได้อย่างสัตย์ซื่อแบบไร้ความกังวล แล้วพระองค์จะตอบแบบไหนก็เป็นสิทธิของพระองค์ เราแค่เชื่อว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานเราก็เป็นพอ

– เช่น ไม่สบาย > อธิษฐาน > แล้วทานยา(ก่อนทานอธิษฐานขอพระเจ้าทรงรักษาผ่านยานี้)>> รับการรักษา..ฯลฯ แต่ทุกขั้นตอนก็ทำโดยวางใจ ปราศจากความกังวล…แต่เมื่อเราทำได้ดีที่สุดแล้วแต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่กลับแย่ลง เราก็หยุดทุกสิ่ง เลิกพึ่งทุกสิ่ง พึ่งแต่การรักษาจากพระเจ้าเท่านั้น การทำเช่นนี้ก็จะไม่ได้เป็นการทดลองพระเจ้า

– อย่างไรก็ดี ในทุกขั้นตอนของการรักษานั้น เราก็อธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำ ทรงสอนเราว่า ควรจะรับการรักษามากน้อยแค่ไหนอย่างไรด้วย

– อธิษฐาน พึ่งพระเจ้า ทำส่วนของเราอย่างสัตย์ซื่อ แล้ววางใจ รอคอยพระองค์ตอบด้วยวิธีของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:7) { เชื่อฟังไม่ยากเกินกำลัง }

แนวคิด :
– พระเยซูตรัสสั่งชายตาบอดแต่กำเนิด ที่พระองค์เอาน้ำลายทำเป็นโคลนทาที่ตาของเขา ว่า ให้ไปล้างโคลนที่สระสิโลอัม

– ​สระ​สิโลอัมนี้ ​ตั้งอยู่​ภายใน​กำแพง​เมือง​เยรูซาเล็ม​ทาง​ตอน​ใต้​ น้ำ​จาก​สระ​นี้ใช้​ประกอบ​พิธี​อยู่​เพิง

– สิโลอัม แปลว่า ใช้ไป ชื่อของมันถูกเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าสำหรับเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้

– ทำไมพระเยซู ต้องใช้เขาไปล้างด้วย แค่วางมือเขาก็หายได้แล้วนี่นา ?

– โถ!!! ชายตาบอดน่าสงสาร พระองค์น่าจะช่วยเขาเลย ทำไมให้เขาต้องเดินไปอีกตั้งไกล เพื่อจะไปล้างโคลนออก กว่าจะหายได้ ?

– แต่เขาก็ไป แม้คำสั่งดูไม่เข้าท่า และค่อนลำบากสำหรับคนตาบอดที่จะทำตามคำสั่งนี้ แต่เขาก็เชื่อฟัง

– โดยการเชื่อฟังแบบไม่มีข้อแม้ของเขา เขาจึงหายเป็นปกติ

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อพระเจ้าสั่งให้เราทำอะไร หลายครั้งอาจจะดูเหมือนยาก ดูเหมือนลำบาก แต่จริงๆแล้วเราสามารถทำได้ด้วยกำลังที่เรามี เหมือนชายตาบอดสามารถไปหาสระสิโลอัมจนพบ

– เมื่อเราเชื่อฟัง ทำตามอย่างสัตยซื่อ พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะทำในส่วนของพระองค์เอง คือรักษาสัญญาของพระองค์

– ชายตาบอด สามารถหาเหตุผลได้มากมายที่จะไม่ต้องเชื่อฟังคำสั่งที่ลำบากของพระเยซูนี้ แต่เขาเลือกโยนเหตุผลจอมปลอมเหล่านั้นทิ้งไป แล้วลงมือเชื่อฟัง กระทำตามคำสั่งของพระเยซู

– แล้วเขาก็พบความจริงว่า เชื่อฟังพระเจ้านี่คุ้มจริงๆ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:8) { นี่คนๆเดียวกันหรือนี่!!! }

แนวคิด :
– ทั้งเพื่อนบ้านและคนที่ไม่ใช่เพื่อนบ้าน ของชายที่ตาบอดแต่กำเนิด ที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หาย คนเหล่านั้นพากันประหลาดใจ จนพูดกันว่า ไม่แน่ใจว่า นี่คือ ชายขอทานตาบอดที่เขา รู้จักใช่หรือไม่

– ชายตาบอดคนนี้ เป็นที่รู้จักของเพื่อนบ้านเพราะเป็นชายที่น่าสังเวชเกิดมาก็ตาบอดเลย คนในระแวกบ้านคงโจษจันกันไปทั่ว และชายตาบอดคนนี้คงนั่งขอทานอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มมานานพอสมควร นานๆที่ชาวเมืองรู้จักเขา ว่าเป็นชายตาบอดไร้ค่าน่าสมเพช ที่นั่งขอทานอย่างน่าอนาจ อยู่ที่เดิมนั้นเป็นประจำ

– และเมื่อชายคนนี้ รับการรักษาจากพระเยซูให้กลับมองเห็นได้เป็นปกติ เรื่องราวนี้จึงเป็นข่าวใหญ่ที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นการประกาศตัวครั้งสำคัญของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮา ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

– เหตุการณ์ที่น่าสมเพช น่าเวทนา น่าสังเวช ที่เกิดกลับชายตาบอดคนนี้ กลับการเป็นพระพรยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่สำหรับตัวของเขาเอง แต่มีผลทำให้แผนการของพระเจ้าที่จะทรงช่วยโลกนี้ผ่านทางพระเยซูสำเร็จ

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้ หากเรากำลังพบกับสถานการณ์ยากลำบาก เลวร้าย เจ็บปวด อับอาย ไร้เกียรติ หมดศักดิ์ศรี ซึ่งมันอาจไม่ใช่ แค่เพิ่งเกิดวันสองวันนี้ แต่อาจเกิดกับเรามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เหมือนชายตาบอดคนนี้

– พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ สำหรับการช่วยกู้เรา และสำหรับใช้สถานการณ์นี้เป็นพระพรและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

– จงอดทน เพียรรอคอยเวลาที่ดีที่สุดของพระเจ้า รอคอยด้วยความไว้วางใจในพระองค์

– เมื่อวันแห่งการช่วยกู้มาถึง พระเจ้าจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ ให้เป็นพระพรยิ่งใหญ่ จนคนรอบข้างต้องตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ “โอ้ว!!! นี่คนๆเดียวกันกับที่ฉันเคยรู้จักหรือนี่”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:9) { ฉันคือคนนั้น }

แนวคิด :
– เมื่อผู้คนเห็นชายตาบอดแต่กำเนิดคนนั้นหายเป็นปกติ ก็ประหลาดใจมาก เขาเปลี่ยนไปมากจนคนจำเขาแทบไม่ได้

– บางคนก็บอกว่า “ใช่นะ นี่มันขอทาน ตาบอดคนนั้น”

– บางคนก็บอกว่า “ไม่ใช่หรอก เป็นไปไม่ได้จะเป็นคนๆเดียวกัน คนนั้นตาบอดมาตั้งแต่เกิดแล้ว”

– จนในที่สุดเจ้าตัวต้องมายืนยันเองว่า “ใช่แล้ว ฉันนั่นแหละคือชายตาบอดคนนั้น”

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา คนที่สมควรจะยืนยันในการเปลี่ยนแปลงนั้นที่สุด คือ ตัวเราเอง

– วันนี้เราได้ยืนยันในการช่วยกู้ของพระเจ้าในชีวิตของเรามากแค่ไหน? หรือเราปล่อยให้คนอื่นเดาเอาเอง ว่าเราได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าแล้ว ใครเดาถูกก็ดีไป ใครเดาผิดก็ช่างมัน

– คนนั้นประกาศว่า ใช่แล้วเป็นฉันเองที่ได้รับการรักษาให้หายจากตาบอดแล้ว

– เราประกาศใครผู้คนรับรู้มากแค่ไหน ว่า ฉันได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้าอะไรบ้างแล้ว

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:10) { กลายเป็นคนสำคัญ }

แนวคิด :
– จากชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานาน ไม่มีใครเคยสนใจ หลายคนไม่ไม่แม้กระทั่งอย่างก้มลงไปมองด้วยซ้ำ แต่บัดนี้เป็นที่สนใจ จนคนต้องเดินมา เอ่ยปากถามเขาก่อนด้วยซ้ำไป

– ตาของเขา อวัยวะน่าสมเพช อวัยวะเจ้าปัญหาที่ทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำและเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามมาตลอดชีวิต วันนี้เพราะตานั้นเป็นกลายเป็นที่สนใจของผู้คนรอบข้างมากมาย และกลายเป็นอวัยวะที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และมีส่วนในพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระเยซู

การประยุกต์ใช้ :
– ชีวิตของเรา หากมอบให้พระเยซูจัดการ ชีวิตไร้ค่าจะกลายเป็นชีวิตทรงคุณค่า สถานการณ์ที่ตกต่ำ ถูกเหยียดหยามจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

– วันนี้ เราต้องตัดสินใจ จะจัดการชีวิตด้วยกำลัง ด้วยสติปัญญา ด้วยประสบการณ์ของตนเองต่อไป หรือ จะยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง มอบให้พระเยซูจัดการกับชีวิตของเรา ตามแผนการของพระองค์ ตามใจปรารถนาของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:11) { เป็นพยานเพื่อพระองค์ }

แนวคิด :
– ชายคนที่เคยตาบอดแต่กำเนิด ตอบคนที่ถามเขาว่า มีชายคนหนึ่งชื่อเยซู เอาโคลนมาทาตาเขาแล้วใช้เขาไปล้าง เขาเชื่อฟัง แล้วก็หายเป็นปกติ

– ชายคนนี้ ไม่เคยเห็นพระเยซู ได้ยินแต่เสียง แต่ก็เชื่อฟัง จึงได้พบการอัศจรรย์

– ชายคนนี้ ไม่ได้บอกว่า พระเยซู​บ้วน​น้ำลาย​ลง​ที่ดิน แล้ว​​เอา​น้ำลาย​นั้น​ทำ​เป็น​โคลน​ทา​ที่​ตา​ (ข้อ6) เพราะเขาไม่ได้เห็น เขาพูดแค่ที่เขาเห็นจริงๆ

– ชายคนนี้เป็นพยานในสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ อย่างเรียบง่าย เขาบอกเท่าที่เขาเห็น เขาพูดเท่าที่เขาได้ลงมือทำจริงๆ เขาได้บอกถึงผลของสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำแก่เขา คือ มองเห็นได้

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้แม้เราไม่ได้เห็นพระเจ้าด้วยตา แต่เราได้ยินคำสอนของพระองค์ผ่านทางพระวจนะของพระองค์ หากเราเชื่อฟัง กระทำตามพระวจนะนั้น เราเองก็จะได้พบการอัศจรรย์เหมือนอย่างที่ชายคนนี้ได้มีประสบการณ์

– การเป็นพยานเพื่อพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องสลับซับซ้อนอะไร ก็แค่บอกคนอื่นเท่าที่เห็นได้พบ ได้เจอ ได้มีประสบการณ์ บอกคนทั้งหลายว่า พระเยซูทรงกระทำอะไรแก่ชีวิตของเราแล้วบ้าง

– ในวันที่เขาตรึงพระเยซูนั้น น่าเศร้าที่ไม่มีใครสักคนเดียวที่กล้ายืนขึ้น เป็นพยานฝ่ายพระองค์

– ในวันนี้ เป็นโอกาสของเรา เราจะยืนขึ้นเป็นพยานฝ่ายพระองค์หรือไม่ ว่า พระองค์ได้ทรงกระทำอะไรในชีวิตของเราแล้วบ้าง

– ชายคนนี้ รู้น้อยมากเกี่ยวกับพระเยซู ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นพยานในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเขา แล้วเราละ วันนี้เรารู้เกี่ยวกับพระเยซูมากกว่าชายคนนี้มากนัก เราจะทำอะไรบ้าง เพื่อ เป็นพยานเพื่อพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:12) { บอกเท่าที่รู้ }

แนวคิด :
– หลังพวกยิวได้ยินเรื่องที่ชายที่หายจากตาบอดเล่า พวกเขาก็ถามหาว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน ไม่ใช่คำถามที่ปรารถนาดีหรือศรัทธาพระองค์ แต่เขาถามเพื่อที่จะจับตัวพระเยซูไปยังสภาแซนฮีดริน เนื่องจากพระเยซูทำการรักษาชายตาบอดแต่กำเนิดนี้ในวันสะบาโต

– ชายที่หายจากตาบอด ก็ตอบตามจริงว่า เขาไม่ทราบ แสดงว่าพระเยซูจงใจไม่ปรากฏตัวหลังจากรักษาชายตาบอดคนนี้ ไม่ใช่เพราะพระองค์กลัวตาย หรือกลัวถูกจับ เพราะอีกไม่นานเมื่อถึงเวลาพระองค์เองเต็มใจให้เขาจับ และเต็มใจเดินไปสู่ความตายที่ไม้กางเขนเพื่อเรา

– ดูเหมือนสำหรับพระเยซู การมีชื่อเสียง คำยกย่อง เสียงตบมือ จากมนุษย์ช่างไร้ค่า พระองค์ทำเพื่อประสงค์เดียวคือ ทำตามแผนการแห่งน้ำพระทัยของพระบิดา

การประยุกต์ใช้ :
– บทเรียนจากชีวิตของพระเยซู คือ เมื่อเราจะทำสิ่งใด มนุษย์จะรู้สึกอย่างไรต่อเราไม่สำคัญเลย สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดคือ การกระทำนั้นเป็นที่พอพระทัยพระบิดาหรือไม่

– บทเรียนจากชายที่หายจากตาบอด คือ การเป็นพยานเรื่องของพระเยซู เป็นพยานเพียงเท่าที่เรารู้ นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จผ่านทางชีวิตของเรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:13) { เป็นพยานจนเป็นเรื่อง }

แนวคิด :
– เมื่อพวกยิวได้ยินชายที่หายจากตาบอด พูดถึงพระเยซูรักษาเขาอย่างไร พวกเขาจึงพาชายคนนั้นไปหาพวกฟาริสี เพื่อจะนำไปสอบสวนในสภาแซนฮีดริน

– ชายคนนี้ ได้ทำสิ่งที่ดีคือ เป็นพยานว่าพระเยซูทรงรักษาเขาอย่างไร แต่ดูเหมือนว่า การทำสิ่งที่ของเขานั้นกำลังนำเรื่องเดือดร้อนมาถึงเขา

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อเราเป็นพยานเรื่องของพระเยซู ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันว่า เราจะได้รับการตอบสนองที่ดีเสมอไป บางครั้งอาจจะเกิดปัญหาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เหมือนชายคนนี้ก็เป็นได้

– แต่ที่สำคัญคือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ท้ายที่สุดจะกลายเป็นผลดียิ่งใหญ่ในฝ่ายวิญญาณสำหรับเรา เหมือนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชายตาบอดคนนี้ในข้อต่อๆมา

– เมื่อเราเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเนื่องจากการเป็นพยานนั้น ในท้ายที่สุดแล้วจะนำพระพรยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตของเรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:14) { เมื่อพระเยซูก่อปัญหา }

แนวคิด :
– ชายที่หายจากตาบอด กำลังเผชิญปัญหา เขากำลังถูกนำตัวไปสอบสวนในสภาแซนฮีดริน

– ปัญหานี้ ไม่ใช่เขาเป็นคนก่อ คนที่ก่อขึ้นคือ พระเยซู เพราะพระองค์ทรงเลือกรักษาชายคนนี้ในวันสะบาโต

– ในเมื่อปัญหานี้ เขาไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เป็นพระเยซู ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าห่วงเลยเพราะในที่สุดพระเยซูจะรับผิดชอบเอง และจะเกิดเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดปัญหาขึ้น เพราะเหตุเราเชื่อฟัง ยำเกรงพระเจ้า เมื่อนั้นจงรู้เถิดว่า พระเจ้าจะรับผิดชอบปัญหานั้นเองอย่างแน่นอน

– พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและสัตย์จริง จะทรงโปรดประทานให้ปัญหานั้นนำพระพรที่ยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตของเราอย่างแน่นอน

– เมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นตามมา สิ่งนั้นในที่สุดจะกลายเป็นพระพร

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:15 ) { ปกป้องพระเยซู }

แนวคิด :
– เมื่อพวกยิว พาชายคนที่พระเยซูรักษาให้หายตาบอดแต่กำเนิด มาพบพวกฟาริสี พวกฟาริสีจึงสอบสวนเขาเพื่อจะหาทางเอาผิดพระเยซู โดยถามว่า ตา​ของ​เขา​มอง​เห็น​ได้​อย่าง​ไร

– เขาตอบว่า  “ท่าน​เอา​โคลน​ทา​ตา​ของ​ข้าพ​เจ้า แล้ว​ข้าพ​เจ้า​ก็​ไป​ล้าง​ออก​แล้ว​ก็​มอง​เห็น”

– ถ้าเราเปรียบเทียบกับคำตอบของเขาก่อนหน้านี้ ในข้อ 11 ที่เขาตอบพวกยิว เราจะเห็นอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ

– (ยน. 9:11) เขา​ตอบ​ว่า “ชาย​คน​หนึ่ง​ชื่อ​เยซู​ทำ​โคลน​ทา​ตา​ของ​ข้าพ​เจ้า​และ​บอก​ข้าพ​เจ้า​ว่า ‘จง​ไป​ที่​สระ​สิ​โล​อัม​แล้ว​ล้าง​โคลน​ออก’ ข้าพเจ้า​ก็​ไป​ล้าง​ตา​แล้ว​ก็​มอง​เห็น​”

– ดูเหมือนว่า เขาจะรับรู้ได้ว่า พวกฟาริสี ถามเพื่อที่จะเอาผิดพระเยซู ที่รักษาเขาในวันสะบาโต

– คำตอบของเขาในข้อนี้ จึงแตกต่างจากข้อ 11

> เขาไม่ได้เอ่ยชื่อพระเยซู ไม่อยากให้พวกฟาริสีรู้ว่า พระองค์ชื่อเยซู

> เขาไม่พูดว่า พระเยซูทำโคลน (ซึ่งพวกฟาริสีอาจนับว่าเป็นการทำงาน) แต่พูดว่า “เอาโคลนทาตา” เลย ตัดคำว่าทำโคลนออก

> เขาตัดวลีว่า “พระเยซูบอกให้เขาไปล้างตา” ออก กลายเป็นดูเหมือนบอกว่า เขาไปล้างเองนะ ไม่เกี่ยวกับพระองค์

– ช่างเป็นความพยายามที่น่ารัก ของชายไร้การศึกษาผู้หายบอดคนนี้

– เขาพยายามปกป้อง พยายามช่วยพระเยซู แต่แท้จริงแล้ว ความพยายามของเขา ไม่มีผลต่อพวกฟาริสีเลยแม้เพียงสักเล็กน้อย พวกฟารีสียังคงโกรธแค้น เกลียดชังพระเยซูอยู่ดี

การประยุกต์ใช้ :
– ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะมีใครสักกี่คนหนอ ที่เห็นความพยายามที่แสนน่ารักของชายไร้การศึกษาคนนี้ มาวันนี้อย่างน้อยก็มีพวกเราที่ได้อ่านข้อความนี้ละ ที่ได้สังเกตเห็นบ้าง

– แต่แม้ไม่มีใครเห็น สิ่งงดงามที่เขาพยายามทำเพื่อพระเยซู แต่พระเยซูทรงทราบอย่างแน่นอน

– และพระเยซูเองจะเป็นผู้ประทานรางวัลแก่เขาอย่างแน่นอน ในข้อต่อๆมา ในที่สุดพระเยซูได้เสด็จมาพบกับเขา และจงใจสำแดงพระองค์เองแก่เขาเป็นการส่วนตัว

– สิ่งที่เราทำเพื่อพระเยซู แม้จะเล็กน้อยสักเพียงใด และแม้จะไม่มีใครเห็น แต่พระเยซูทรงทราบเป็นแน่และพระเยซูจะเป็นผู้ตอบแทน ทุกการกระทำที่กระทำ เพราะเหตุความรักที่มีต่อพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:16 ) { ผู้เขย่าสภาแซนฮีดริน }

แนวคิด :
– พวกฟาริสีในสภาแซนฮีดริน เริ่มแตกแยกทางความคิดกัน

– บางคน บอกว่า พระเยซูไม่มีทางมาจากพระเจ้าได้ เพราะพระเยซูทำผิดกฏวันสะบาโต ตามกติกาที่พวกเขาตั้งขึ้นมา พวกเขาถือว่า การทำโคลนมาทาที่ตาในวันสะบาโต เป็นสิ่งที่ผิด

– แต่บางคน บอกว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้านะ เพราะพระเยซูทำหมายสำคัญอันชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า

? อะไรหนอ ทำให้สภาสูงผู้เต็มไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระคัมภีร์ เกิดความขัดแย้งกันได้?

? ใครหนอ ทำให้ฟาริสีระกับหัวหน้าในสภาแซนฮีดริน เปลี่ยนใจกันมาเข้าข้างพระเยซูได้?

>> ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น ชายไร้การศึกษา ที่เคยเป็นขอทานตาบอดไร้ค่า

>> เมื่อพระเยซูทรงกระทำกิจในชีวิตของชายไร้ค่าคนนี้ ชายไร้ค่าคนนี้แหละ ที่เขย่าที่ประชุมของสภาสูงของยิวให้สั่นสะเทือน

[[ซึ่งในข้อต่อมา เกิดเรื่องฮา ระดับโลก โปรดติดตามวันพรุ่งนี้]]

การประยุกต์ใช้ :
– ไม่สำคัญว่าเราอ่อนแอเพียงใด เราไร้ค่ามากสักแค่ไหน ขอเพียงแต่ให้พระเยซู ทำกิจในชีวิตของเรา เพียงเท่านี้ชีวิตของเรา จะมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อผู้คนมากมาย

– ชีวิตไร้ค่า ที่ยอมให้พระเจ้าทรงใช้ จะกลายเป็น ชีวิตที่ทรงคุณค่ายิ่งนัก

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:17 ) { ผู้รู้ถามผู้ไม่รู้ }

แนวคิด :
– หลังจากที่เหล่าผู้นำฟาริสีผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรู้ในพระคำของพระเจ้าอย่างมาก เถียงกันตกลงกันไม่ได้ พวกเขาจึงทำอย่างหนึ่งคือ หันมาถามความคิดเห็น จากขอทานไร้การศึกษาผู้ที่ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งได้มีโอกาสเห็นโลกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเท่านั้นเอง

– หน่ำซ้ำพวกเขาถามความคิดเห็น เกี่ยวกับความคิดเห็นที่ชายคนนี้เพิ่งตอบไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง

– พวกฟาริสีเคยเห็นพระเยซูมาก่อน และจากคำถามของพวกเขา พวกเขายอมรับว่า พระเยซูเป็นผู้รักษาชายตาบอดให้มองเห็นได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจสรุปได้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด

– ส่วนชายไร้การศึกษาคนนี้ ไม่เคยเห็นพระเยซูมาก่อนเลย ชายคนนี้เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้รักษาเขาให้หายตาบอด และการประเมินของเขา มาถึงตอนนี้ เขาสามารถสรุปได้ว่า พระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :
– ความรู้ การศึกษา ไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันว่า เราจะรู้จักพระเยซู

– หากใจของเราแข็งกระด้างต่อสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ เราก็จะไม่สามารถรู้จักกับพระเยซูมากขึ้นได้อยู่ดี ไม่ว่าเราจะมีประสบการณ์กับพระเยซูมากเพียงใดก็ตาม

– หากใจของเราเปิดออก มองสิ่งที่พระเยซูทำด้วยความเชื่อ ด้วยใจขอบพระคุณ เราเองจะรู้จักพระเยซูมากขึ้นทุกวันๆ จนสามารถเป็นพรแก่ผู้อื่น รวมทั้งผู้ที่ดูเหมือนว่าพวกเขาเหนือกว่าเราด้วยเช่นกัน

– วันนี้ หากเราเปิดใจออก มองด้วยสายตาแห่งความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกำลังทำเพื่อเรา ในสถานการณ์รอบข้างในวันนี้ เราเองจะรู้จักกับพระองค์มากยิ่งขึ้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:18 ) { หาเรื่องไม่เชื่อ }

แนวคิด :
– หลังจากพวกฟาริสีความเห็นแตกออกเป็นกลุ่มๆ พวกยิวเริ่มสงสัยว่า ชายคนนี้ตาบอดแต่กำเนิดจริงหรือเปล่า หรือว่าเขาไปร่วมมือกับพระเยซูแกล้งตาบอดแล้วบอกว่าพระเยซูรักษาให้หาย

– ทั้งที่มีคนจำชายคนนี้ได้ ทั้งที่ชายคนนี้เป็นพยานบอกพวกเขา แต่พวกเขาก็พยายามหาทางที่จะไม่เชื่ออยู่ดี เพราะการยอมเชื่อว่าพระเยซูทรงรักษาเขาให้หายนั้น ขัดแย้งกับมุมมองของพวกเขา  ต่อพระเจ้าและต่อวันสะบาโต

การประยุกต์ใช้ :
– หลายครั้งเราเป็นเหมือนพวกยิวเหล่านี้ คือ พยายามหาทางที่จะไม่เชื่อ ทั้งที่ได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า

– พระเจ้าเคยช่วยเรามาแล้วในอดีตที่ผ่านมา ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พอมาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน เรากลับพยายามหาเหตุผลสารพัด เพื่อที่จะไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเราได้อีกในสถานการณ์ในวันนี้

– ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ที่พยายามทำให้เราเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเราในสถานการณ์ในวันนี้  “จงกลับใจเสียใหม่  อย่าพยายามหาเหตุผลที่จะไม่เชื่อ” โยนเหตุผลเหล่านั้นทิ้ งไป แล้วหันมายึดมั่นในพระสัญญาแห่งความรักมั่นคงของพระองค์ ด้วยความเชื่อโดยปราศจากความสงสัยใดๆ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:19 ) { เมื่อโอกาสมาถึง }

แนวคิด :
– พวกยิวถามพ่อแม่ของชายที่หายตาบอด ด้วย 3 คำถาม เพื่อทำให้พวกเขาสับสนเพื่อจะหาช่องที่จะพิสูจน์ว่าชายคนนั้นพูดไม่ถูกต้อง

– เมื่อชายที่ตาบอดแต่กำเนิดหายจากตาบอด คนแรกๆที่เขาจะรีบวิ่งไปโชว์ตาที่มองเห็นได้ให้ดู น่าจะเป็นพ่อแม่ของเขา และแน่นอนพ่อแม่คงถามว่าหายได้อย่างไร ถึงแม้พ่อแม่ไม่ถามยังไงเขาคงไม่พลาดที่จะเล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เพิ่งเกิดกับเขาให้พ่อแม่ฟังเป็นแน่ ดังนั้น พ่อแม่รู้แน่ว่า พระเยซูทรงรักษาตาของชายคนนี้ให้หาย

– พ่อแม่ของชายคนนี้ถูกเรียกตัวมา และถูกถามด้วยคำถาม ที่พวกเขาสามารถตอบได้ หากพวกเขาต้องการจะตอบ แต่น่าเสียดาย เพราะเหตุความกลัวพวกเขาจึงเลือกไม่ตอบสิ่งที่ควรจะตอบ

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อโอกาสมาถึง พระเจ้าจะทรงนำให้เรามีโอกาสที่จะพูดกับคนอื่น ถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำกับชีวิตของเรา หรือทรงทำกับคนที่เรารัก

– เราจะตอบสนองต่อโอกาสนั้นอย่างไร?

– อย่าให้ความกลัว ความอาย มาปิดกั้นเรา ทำให้เราไม่กล้าที่จะยืนอยู่ฝ่ายพระเยซู ไม่กล้าที่จะเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำในชีวิตของเรา

– ระวังที่จะไม่เป็นคนอกตัญญูแบบพ่อแม่ของชายคนนั้น ที่แม้ว่าพระเยซูทรงเมตตาช่วยลูกของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมยืนเป็นพยานฝ่ายพระเยซูอยู่ดี

– วันนี้ เมื่อพระเจ้าเปิดโอกาสที่จะให้เราเป็นพยานเพื่อพระองค์ จงรีบคว้าโอกาสนั้น ยืนขึ้นเป็นพยานเพื่อพระองค์ผู้ทรงรักและเมตตาเราอย่างที่สุด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:20 ) { เลือกที่จะเลี่ยง เพราะมันเสี่ยงเกินไป }

แนวคิด :
– พ่อแม่ของชายที่พระเยซูทรงรักษาให้หายตาบอด ตอบคำถาม 2 ข้อแรกของพวกยิว (ข้อ19)อย่างไม่ลังเล เพราะเป็นคำถามที่เมื่อตอบแล้วไม่เป็นภัยต่อตัวเอง

– พวกเขาบอกว่า พวกเขารู้คำตอบ ทั้ง 2 คำถาม

– แต่ความจริงเขารู้ทั้ง 3 คำถาม แต่เลือกตอบเฉพาะที่ตนเองจะปลอดภัยเท่านั้น

การประยุกต์ใช้ :
– น่าเศร้าที่เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คริสเตียนจำนวนไม่น้อย ยินดีพูดอะไรก็ได้ เล่าเรื่องอะไรก็ได้ อย่างออกรสชาติ แต่พอมาถึงเรื่องพระเยซูที่ทรงรักเขาอย่างที่สุด ผู้ทรงมีพระคุณและทรงช่วยเขามากมาย เขากลับกระดาก อาย ที่จะพูดเรื่องของพระเยซูให้ผู้อื่นฟัง

– ในบางคนอาจเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับพ่อแม่ของชายคนน้น ก็คือ ถ้าพูดแล้วอาจจะนำความเดือดร้อน คำตำหนิ หรืออะไรที่เขาไม่ค่อยชอบ มาสู่ชีวิตของเขา เขาจึงเลือกเลี่ยงที่จะพูดถึงพระเยซู

– พระเจ้าไม่ทรงละลายที่จะเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ แล้ววันนี้เราละอายที่จะพูดถึงเรื่องของพระองค์ให้คนอื่นฟังหรือเปล่า?

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:21 ) { ยกโอกาสให้คนอื่น }

แนวคิด :
– พ่อแม่ของชายที่พระเยซูรักษาตาของเขาให้หายบอด ตอบคำถามที่ 3 ของพวกยิวว่า พวกเขาไม่รู้ว่า ทำไมลูกชายของเขาจึงมองเห็น ไม่รู้ว่าใคร(พระเยซู)รักษาเขา

– เป็นที่แน่นอนว่า ชายคนนี้คงได้บอกเล่าเรื่องราวอันแสนอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเขาให้พ่อแม่ของเขาได้ฟังแล้ว และคนอื่นๆเองก็คงเล่าให้พวกเขาฟังด้วย

– แต่เขาเลือกที่จะไม่รับรู้ เหมือนกับไม่รู้เรื่องราวใดๆเลย

– แล้วเขาก็โยนความรับผิดชอบที่ต้องตอบคำถามที่อันตราย ให้แก่ลูกของ ผู้ไร้การศึกษา ผู้อ่อนประสบการณ์ต่อโลก เป็นผู้ตอบ

– โดยให้เหตุผลว่า ลูกของเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สำหรับคนยิวจะนับว่า เด็กโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อเขาอายุครบ 13 ปี

– ก็ดูเหมือนสมเหตุสมผล สำหรับเหตุผลที่พ่อแม่ให้มานั้น แต่พวกเขาสูญเสียโอกาสที่จะเป็นพยานฝ่ายพระเยซูไปเสีย

การประยุกต์ใช้ :
– เมื่อโอกาสที่จะทำอะไรเพื่อพระเจ้า พรือพูดอะไรเพื่อพระเจ้า มาถึง แต่เราก็พยายามยกเหตุผลดีๆสารพัด เพื่อมาเป็นข้ออ้าง เพื่อจะไม่ต้องใช้โอกาสนั้น

– โอกาสนั้นจะผ่านไป แล้วโอกาสนั้นจะถูกยกให้กับผู้อื่นแทนเสมอ

– เลิกหาข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะไม่ต้องใช้โอกาสที่พระเจ้าประทานให้เพื่อรับใช้พระองค์

– จงรีบฉวยโอกาสที่มาถึงเพื่อรับใช้พระเจ้า มิฉะนั้นโอกาสนั้นจะถูกมอบให้แก่คนอื่นแทน

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:22 ) { เพราะความกลัว }

แนวคิด :
– พวกยิวตกลงกันว่า ถ้าใครยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ พวกเขาจะขับคนนั้นออกจากชุมชนโดยการไม่ให้เข้ามาในธรรมศาลา และประชาชนจะถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับเขา

– เมื่อพ่อแม่ของชายที่พระเยซูรักษาให้หายบอดทราบเรื่องนี้ พวกเขาจึงกลัว จนไม่กล้ากล่าวสิ่งใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อพระเยซู ให้ผู้อื่นได้ฟัง

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้มีความกลัวอะไรบ้างที่ขวางกั้น ไม่ให้เราพูดถึงเรื่องพระเยซูให้แก่ผู้อื่นได้ฟัง?

– เพราะพ่อแม่ของคนนั้น กลัวกติกาที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงละเลยกติกาของพระเจ้า

– วันนี้ อย่ายอมให้ ความกลัวมนุษย์ ทำให้ชีวิตของเราละทิ้งความเกรงกลัวพระเจ้าเสีย

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:23 ) { บทลงโทษที่น่ากลัว }

แนวคิด :
– ข้อนี้ชี้ให้เห็นความรุนแรงของโทษที่พวกยิวกำหนดขึ้นมาเพื่อต่อต้านพระเยซู ว่าใครยอมรับพระองค์เป็นพระคริสต์ จะรับโทษหนัก

– โทษหนักขนาดว่า พ่อและแม่ ยอมทิ้งลูกเอาตัวรอด ให้ลูกผู้ไร้การศึกษาไปรับหน้าแทนละกัน

– ปกติพ่อหรือแม่ จะออกรับแทนลูก แต่นี่ทั้ง “พ่อ” และ “แม่” ด้วยเลยเชียวนะ ที่หลบฉากออกไปแล้ว ให้ลูกรับหน้าแทน

– แสดงให้เห็นว่า โทษที่พวกยิวตั้งรุนแรงมาก  เราคงไม่อาจเข้าใจ ความรู้สึกของคนสมัยนั้นจริงๆว่า โทษนั้นน่ากลัวสำหรับพวกเขามากเพียงใด แต่เราสังเกตได้จากการที่ ทั้งพ่อและแม่ เห็นพ้องต้องกันว่าโทษมันรุนแรงมาก จนยอมทิ้งลูกผู้ไร้การศึกษาให้ต้องเผชิญปัญหานี้แต่ลำพัง

– ทำไมพวกยิวต้องกำหนดโทษรุนแรงขนาดนั้น? ก็เพราะพวกเขารู้ดีว่าจะมีคนยอมรับพระเยซูเป็นพระคริสต์อย่างแน่นอน และเมื่อมีใครยอมรับเช่นนั้น พวกเขาเองคงไม่อาจหาเห็นผลใดๆ มาโต้แย้งว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์ เพราะทั้งคำสอนและการกระของพระองค์ พิสูจน์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์

– ด้วยเหตุนี้ เมื่อรู้ว่าเถียงสู้ไม่ได้แน่แน่ เลยใช้อำนาจที่ตนมี ออกข้อห้าม ออกบทลงโทษอย่างรุนแรง ไม่ให้ใครพูดถึงประเด็นนี้เด็ดขาด

– “ห้ามยกประเด็นขึ้นมาพูดเด็ดขาด เพราะพวกฉันเถียงไม่ได้” เป็นงั้นไป 555

– ซึ่งในอีกมุมหนึ่งเหตุการณ์นี้กลับชี้ชัดว่า พวกยิวเองก็ยอมรับตามหลักฐานว่า พระเยซูเป็นพระคริสต์ แต่เนื่องจากใจที่แข็งกระด้างไม่อยากยอมรับความจริงนั้น จึงห้ามคนพูดถึงความจริงนี้

การประยุกต์ใช้ :
– วันนี้ มารพยายามกำหนดบทลงโทษอย่างเต็มที่ สำหรับคนที่รักพระเยซู เป็นพยานเพื่อพระเยซู รับใช้พระเยซู

– บทลงโทษนั้นอาจจะเป็น การถูกเพื่อนดูถูก การเสียโอกาสหาเงินหรือได้เงิน การสูญเสียคนรัก การถูกเยาะเย้ยเหยียดหยาม การหน้าแตก ฯลฯ

– เราจะทำอย่างไร?

>> เราจะกลัวลนลานเหมือนพ่อแม่คู่นี้ แล้วเลือกยอมสยบต่อบทลงโทษนั้น โดยไม่ปริปากพูด

>> หรือ เราจะลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ แบกกางเขนร่วมกับพระคริสต์ ประกาศและเป็นพยานเพื่อพระเยซูที่รัก ผู้ทรงวายพระชนม์เพื่อเรา

– อย่ากลัวคำข่มขู่ของศัตรู จงลุกขึ้นสู้ ด้วยการประกาศพระวจนะของพระองค์อย่างกล้าหาญเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:24 ) { โกหกเพื่อถวายเกียรติ }

แนวคิด :
– เมื่อสอบถามพ่อแม่ของชายที่พระเยซูรักษาตาของเขาให้หายบอดแล้ว แต่พวกฟาริสีก็ยังหาช่องที่จะเอาผิดพระเยซูไม่ได้ เพราะพ่อแม่ของเขาไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับพระเยซูเลย

– พวกฟาริสีจึงเรียกชายที่หายตาบอดนั้นมาอีกเป็นครั้งที่2

– แล้วบอกว่า “จง​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​เจ้า” หมายถึง “จงพูดตามจริงออกมา” (เหมือนใน ยวช.7:19) โดยพูดว่า พระเยซูเป็นคนบาป

– พวกเขาบอกให้ชายคนนั้นพูดความจริงออกมา ด้วยการพูดโกหกตามที่พวกเขาบอกนั้น

– พวกเขาคิดว่า ถ้าชายคนนั้นพูดเช่นนั้น จะเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า คือพูดโกหกเกี่ยวกับพระเยซู

– พวกเขากำหนดบทลงโทษสำหรับคนพูดความจริงเกี่ยวกับพระเยซู(ข้อ 22) และบอกให้ชายคนนี้พูดโกหกเกี่ยวกับพระเยซู แล้วเรียกสิ่งนี้ว่าการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :
– บางคนตั้งกฏกติกาขึ้นมาเอง จากมุมมองของตนเอง แล้วบอกว่า การทำเช่นนั้นถวายเกียรติแด่พระเจ้า

– วิธีแยกแยะว่า กฏกติกาใด เป็นมาจากพระเจ้าหรือไม่ สังเกตได้จาก สิ่งนั้นต้องสอดคล้องกับภาพรวมของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ไม่ใช่แค่ตอนใดตอนหนึ่ง

– พวกฟาริสีสนใจแต่ว่า พระเยซูทำผิดกฏเรื่องวันสะบาโต โดยไม่ยอมดูภาพรวมของพระคัมภีร์ทั้งหมดว่า ถ้าพระเยซูเป็นพระคริสต์จริงๆ พระองค์จะเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต

– แล้วเขาก็ตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมา ให้คนพูดโกหกเรื่องพระเยซู เพื่อจะได้จับพระเยซูผู้ทำผิดกฏวันสะบาโตนั้น

– เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้าด้วยวิธีของมารได้ การกระทำใดๆที่ใช้วิธีของมารนั่นไม่ใช่การรับใช้พระเจ้า

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:25 ) { บอกเท่าที่รู้ก็เกินพอแล้ว }

แนวคิด :
– เมื่อพวกฟาริสีพยายามให้ชายคนที่ตาหายบอดกล่าวร้ายต่อพระเยซู ชายคนนั้นตอบอย่างชาญฉลาดว่า ไม่ได้จากศาสนศาสตร์แต่จากประสบการณ์จริงของเขา คือ พระเยซูรักษาตาของเขาให้มองเห็นแล้ว

– ตามศาสนศาสตร์ของพวกยิว พระเยซูผู้เอาโคลนทาตาคนอื่นในวันสะบาโตเป็นคนบาป เพราะละเมิดกฏของวันสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา

– ชายคนนี้ไม่ได้ตอบตามศาสนศาสตร์ว่า พระเยซูเป็นคนบาปใช่หรือไม่เมื่อพระองค์ทำเช่นนั้น เพราะชายคนนั้นไร้การศึกษา และอ่อนประสบการณ์ในเรื่องศาสนศาสตร์ของพวกยิว

– แต่เขาแค่ตอบตามประสบการณ์ที่เขาประสบจริงกับพระเยซู ซึ่งเพียงเท่านั้นก็มากพอ จนไม่อาจมีใครเถียงได้

การประยุกต์ใช้ :
– การเป็นพยานเพื่อพระเจ้า เราอาจจะไม่มีความรู้มากมาย หรือ อาจยังไม่เข้าใจทั้งหมดได้

– แต่นั่นก็ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้าง ที่จะทำให้เราไม่เป็นพยานเพื่อพระองค์

– เรายังไม่ต้องรู้มากมายก่อนก็ได้ แต่เราสามารถเป็นพยานเรื่องของพระเยซูได้จากประสบการณ์จริงที่เรามีกับพระเยซู

– เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตของเราที่ผ่านมาจนกระทั่งวันนี้ พระเยซูทรงกระทำอะไรในชีวิตของเราบ้าง?

– อย่าเก็บไว้ จงบอกเรื่องราวของพระองค์ออกไป

– เราอาจไม่รู้ทั้งหมด แต่จากประสบการณ์ที่เรามีกับพระองค์ นั่นก็เพียงพอที่เราจะถวายพระเกียรติแด่พระองค์แล้ว

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:26 ) { รู้ไป ก็ไร้ประโยชน์ }

แนวคิด :
– หลังจากที่ชายที่หายตาบอดตอบคำถามของพวกฟาริสีตามความจริง ซึ่งไม่ตรงกับใจของพวกฟาริสี พวกเขาจึงพยายามถามชายคนนั้นอีก เพื่อหวังว่าชายคนนั้นจะเปลี่ยนจุดยืนยอมพูดอะไรบางอย่างที่พวกเขาจะเอาผิดพระเยซูได้

– พวกฟาริสีถามว่า พระเยซูทำอะไรทำอย่างไร ตาของเขาจึงหายบอด

– ซึ่งแสดงว่า พวกฟาริสียอมรับอย่างชัดเจนว่า พระเยซูทำให้ชายคนนี้หายจากตาบอด

– แทนที่พวกเขาจะหันมาเชื่อวางใจในพระเยซู พวกเขากลับยังคงเดินในทางของเขาต่อไป หาทางที่จะจับผิดพระเยซูให้ได้

การประยุกต์ใช้ :
– ไม่สำคัญว่า เราได้ยินอะไร เราเห็นอะไร เรารู้อะไร แต่สำคัญว่าเราจะตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร

– พวกฟาริสี รู้แล้วว่าพระเยซูทรงรักษาชายคนนี้ให้หายตาบอด แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางเดิมของพวกเขาต่อไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเขารู้จึงไม่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา

– เมื่อใดก็ตามที่ เราได้ยิน ได้รับรู้พระคำของพระเจ้า หากเราไม่ยอมกลับใจหรือรับการเปลี่ยนจิตใจ แต่ยังคงเลือกเดินในเส้นทางเดิมต่อไป พระคำของพระเจ้าที่ได้ยิน ได้รับรู้ในครั้งนั้น ก็จะไม่มีผลอะไรต่อชีวิตของเราเลย

– อย่าเป็นเพียงแต่ผู้รู้พระคำของพระเจ้าเท่านั้น แต่จงเป็นผู้ให้พระคำของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิต

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:27 ) { มีประโยชน์ในคำพูดสะกิดใจ }

แนวคิด :
– หลังจากชายที่รับการรักษาจากพระเยซูให้หายจากตาบอด ถูกพวกฟาริสีถามคำถามเดิมซ้ำๆ เพื่อจะหาทางจับผิดพระเยซู

– ชายคนนั้นจึงตอบพวกเขาว่า

>> พวกเขาได้ยินแล้วแต่ที่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ยินเพราะพวกเขาไม่ฟัง (ถ้าพวกเขาพิจารณาคำถามนี้ พวกเขาจะรู้ความแข็งกระด้างของใจตัวเอง)

>> พวกเขารู้เหตุผลของตนเองไหมว่าทำไมอยากฟังอีก (ถ้าพวกเขาพิจารณาคำถามนี้ พวกเขาจะรู้ความอคติของตนเอง)

>> พวกเขาอยากเป็นศิษย์พระเยซูไหม (ถ้าพวกเขาพิจารณาคำถามนี้ พวกเขาจะอยากจะรู้จักพระองค์มากขึ้น)

– แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ใส่คำถาม ทักท้วง ที่ชวนคิดของชายคนนั้นเลย ดังนั้นคำถามเหล่านั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาเลย แต่กลับทำให้พวกเขาเยาะเย้ยและทำร้าย ผู้ที่กล่าวทักท้วงนั้น

การประยุกต์ใช้ :
– บางครั้งพระเจ้าทรงใช้บางคน มีคำพูด หรือ การกระทำ ที่สะกิดใจเรา ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราชื่นใจหรือบาดใจของเรา ก็ได้

– อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป โดยเราไม่เรียนรู้อะไรเลย นอกจากความไม่พอใจต่อผู้ที่พูดหรือกระทำสิ่งนั้น เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกฟาริสีในตอนนี้

– คำถามที่เราควรถามตัวเองเสมอ เมื่อมีคำพูดหรือเหตุการณ์พิเศษผ่านเข้ามาในชีวิต คือ “พระเจ้ากำลังจะบอก หรือ เตือนอะไรฉัน ผ่านเหตุการณ์นี้บ้าง?”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:28 ) { กำแพงขวางความจริง }

แนวคิด :
– คำถามชวนคิดของชายที่หายจากตาบอด ในข้อ 27 ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรต่อพวกฟาริสีเลย แต่กลับทำให้พวกเขาหันมาเยาะเย้ยเขาแทน

– เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะจิตใจที่แข็งกระด้างของพวกเขา อันเกิดจากความภาคภูมิใจว่า เป็นศิษย์ของโมเสส ซึ่งหมายถึงเป็นฟาริสีแท้ เพราะพวกสะดูสีจะไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกตนเองว่า ศิษย์ของโมเสส (ข้อมูลจาก Adam Clarke’s commentary)

– พวกเขาภูมิใจว่า เป็นศิษย์โมเสส แต่ช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่โมเสสสอนเลย โมเสสเขียนเล็งถึงพระเยซู (“ถ้า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เชื่อ​โม​เสส ท่าน​ก็​น่า​จะ​เชื่อ​เรา เพราะ​โม​เสส​เขียน​ถึง​เรา” ยน. 5:46)

– ในคราวนี้ความภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขามี สิ่งที่พวกเขาเป็น กลับเป็นกำแพงใหญ่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาได้เห็นความจริงของพระเจ้า ที่สำแดงออกมาให้พวกเขาได้เห็น

การประยุกต์ใช้ :
– จิตใจที่แข็งกระด้าง จะขวางกั้นเราไม่ให้เห็นความจริงของพระเจ้า

– สิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดจิตใจที่แข็งกระด้างเช่นนั้น คือ ความเย่อหยิ่งอันเกิดจากความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราเป็น หรือสิ่งที่ตัวเรามี

– เราควรถ่อมใจลงอยู่เสมอ อย่ายอมให้สิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เรามี ยกใจเราให้ผยองขึ้น จนไม่อาจเห็นความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า หรือไม่ได้ยินคำเตือนจากพระคำของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:29 ) { ปฏิเสธเพราะไม่รู้ }

แนวคิด :
– เนื่องจากชายที่พระเยซูรักษาให้หายตาบอด กล่าวชื่นชมพระเยซู พวกฟาริสีจึงเยาะเย้ยเขา ว่า พระเยซูเป็นแค่คนไร้ชื่อเสียง(กระจอก) ไม่คู่ควรที่จะอาจารย์ของพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นศิษย์ของโมเสส

– พวกเขากล่าวว่า พวกเขารู้ว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับโมเสส พระองค์ตรัสกับโมเสส (ทรงเรียกโมเสส โดยตรัสจากพุ่มไม้ไฟ และตรัสอีกหลายครั้ง) แต่พระเยซูนั้นพวกเขาไม่รู้ว่ามาจากไหน

– ซึ่งอ่านแล้วก็งงกับพวกเขาเหมือนกัน 555 ใน ยน. 7:27 ประชาชนพูดกันว่า “แต่​เรา​รู้​แล้ว​ว่า​คน​นี้​มา​จาก​ไหน เพราะ​เมื่อ​พระ​คริสต์​เสด็จ​มา จะ​ไม่​มี​ใคร​รู้​เลย​ว่า​พระ​องค์​มา​จาก​ไหน” ก็คือ ว่าไปแล้วจริงๆแล้วพวกเขารู้ว่าพระเยซูมาจากไหน

– ในอีกมุมหนึ่งคือ ถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูมาจากไหนจริงๆ พวกเขายิ่งต้องให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่า “เมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน” (ยน.7:27)

– แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว ในเรื่องฝ่ายวิญญาณ พวกเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าพระเยซูมาจากไหน ใน ยน. 8:14พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “…​พวก​ท่าน​ไม่​รู้​ว่า​เรา​มา​จาก​ไหน​และ​จะ​ไป​ที่​ไหน”

– ดังนั้น คำพูดของพวกเขาที่ปฏิเสธพระเยซู “ไม่รู้ว่ามาจากไหน” กลับเป็นการยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์

การประยุกต์ใช้ :
– เหตุผลที่พวกฟาริสียกขึ้นมาเพื่อปฏิเสธพระเยซู ดูตลกมาก พวกเขาปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าพระเยซูมาจากไหน

– เหมือนกับว่า “ทั้งที่เห็นใบไม้ไหว แต่ไม่เชื่อว่าลมมีจริง เพราะไม่รู้ว่าลมมาจากไหน”

– ช่างเป็นมุมมองที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง

– ระวังเชื้อของพวกฟาริสี คือ ต้องเข้าใจทุกอย่างที่ต้องการรู้ก่อน แล้วจึงจะยอมเชื่อ

– วันนี้เราอาจจะไม่เข้าใจอีกหลายอย่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่ผ่านมา นั่นก็น่าจะมากพอแล้วที่จะทำให้เราเชื่อว่า “พระเจ้ามีจริง” “พระเยซูทรงรักเรา” “พระองค์พร้อมให้โอกาสเราเริ่มต้นใหม่” “พระองค์จะรักษาสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน”

– อย่ารอให้ถึงวันที่รู้และเข้าใจทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเชื่อ เพราะบางทีวันนั้นอาจจะไม่มาถึงเราเลย ขณะที่เราอยู่ในโลกนี้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:30 ) { ประหลาดจริงที่ท่านไม่รู้ }

แนวคิด :
– เมื่อพวกฟาริสี กล่าวว่า พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูมาจากไหน หรือ ก็คือกล่าวว่า ไม่รู้ว่าพระเยซูมาจากพระเจ้าจริงๆหรือเปล่า

– ชายที่พระเยซูรักษาให้หายตาบอด จึงกล่าวเตือนสติพวกเขาว่า มันช่างน่าประหลาดที่ผู้เชี่ยวชาญพระคำของพระเจ้า ผู้สั่งสอนพระคำของพระเจ้า อย่างพวกเขา กลับไม่สามารถเข้าใจได้ว่า พระเยซูมาจากพระเจ้า ทั้งที่การกระทำของพระเยซูปรากฏให้เห็นชัดเจนว่า พระองค์เป็นพระมาซีฮา พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดแต่กำเนิดมองเห็นได้

– ชายผู้ไร้การศึกษายังสามารถ รับรู้ได้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา แต่ นักศาสนาผู้เชี่ยวชาญพระคำของพระเจ้า กลับไม่สามารถ เข้าใจได้ว่า นี่เป็นการกระทำโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า

การประยุกต์ใช้ :
– ความรู้ ความเข้าใจทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของพระเจ้าได้มากขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้มันก่อให้เกิดความลำพอง จนกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้น ไม่ให้เราสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำได้

– พวกฟาริสีคิดว่าพวกเขารู้หมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจรับรู้สิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดงได้ ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยท่าทีว่า รู้หมดแล้ว เราก็จะไม่พบสิ่งใหม่ใดๆเลยจากในนั้น

ประยุกต์แถม

– วันนี้พระเจ้ากำลังทำงานมากมายหลากหลายวิธี นำคนเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า การคิดว่าเราต้องทำแบบเดิมๆอย่างที่เคยทำมาเท่านั้น อาจเป็นการปิดตาของตนเอง ไม่มองดูประตูที่พระเจ้ากำลังเปิดออกในสังคมปัจจุบันก็เป็นได้

– เปิดตาสังเกตดู พระเจ้ากำลังทำอย่างไร กับการขยายแผ่นดินของพระเจ้าในประเทศไทย แล้วมีส่วนร่วมกับประตูที่เปิดออกนั้น

– เดี๋ยวนี้ พระเจ้าทรงใช้ Line , Facebook , Youtube และช่องทางอื่นอีกหลายอย่าง นำข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ไปถึงผู้คนมากมาย  จงร่วมงานกับพระเจ้าเถิด

– อย่าให้ใครมาพูดกับเราได้ว่า “เออ! ประหลาดจริง ที่ผู้ใช้โซเชียล อย่างท่านยังไม่รู้ วิธีที่จะนำข่าวประเสริฐไปถึงคนอื่น”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:31 ) { เข้าใจได้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญ }

แนวคิด :
– ชายผู้ไร้การศึกษาที่พระเยซูรักษาให้หายตาบอด อธิบายให้ พวกฟาริสีผู้เชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้า ว่า

– ความจริงนี้ใครๆก็รู้คือพระเจ้าไม่ฟังคนบาป (ข้อความทำนองนี้ปรากฏหลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม เช่น โยบ 27:9; สดด. 66:18; อสย. 1:15; อสย. 59:2; เป็นต้น)

– คนที่พระเจ้าฟังคำร้องทูลของเขา แสดงว่า เขาเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและเป็นคนที่ทำตามพระทัยของพระองค์

– ดังนั้น การที่คนตาบอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ ซึ่งเป็นการทำงานของพระเจ้าอย่างแน่นอน แสดงว่าพระเยซูผู้ทำการนี้ย่อมมาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน พระเจ้าจึงฟังร้องทูลของพระเยซู

การประยุกต์ใช้ :
 – คนไร้การศึกษา ผู้มีประสบการณ์กับพระเจ้า ยังสามารถเข้าใจแผนการของพระเจ้าได้ดียิ่งกว่า นักศาสนาผู้เชี่ยวชาญแต่ตำราแต่ไม่มีประสบการณ์กับพระองค์ในชีวิตประจำวัน

– เรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ เป็นเรื่องของการมีประสบการณ์กับพระเจ้าในชีวิตประจำวัน

– อย่าพอใจกับเพียงแค่การได้ โพส ได้อ่าน ได้ฟัง พระคำของพระเจ้า ในแต่ละวันเท่านั้น จงแสวงหาที่จะมีประสบการณ์กับพระเจ้าผ่านทาง การเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ในทุกวันของชีวิต

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:32 ) { ไม่มีใครเถียงได้ }

แนวคิด :

– ชายที่พระเยซูทรงรักษาให้ตายจากตาบอด ชวนให้พวกฟาริสี คิดใคร่ครวญดูว่า ไม่เคยมีใครทำอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นโมเสส หรือบรรดาผู้เผยพระวจนะคนใดๆในอดีต คือ ทำให้คนที่ตาบอดแต่กำเนิดมองเห็นได้

– ชายคนนี้กล่าวอ้างเหตุผลและหลักฐานอันหนักแน่น ว่าพระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา

– สรรเสริญพระเจ้า!!! พระองค์สามารถใช้ชายที่เป็นขอทาน ที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด ที่สิ้นหวังไม่มีอนาคตเนื่องจาก เขารู้ดีว่าไม่เคยมีใครทำให้คนตาบอดแต่กำเนิดอย่างเขาเห็นได้ แต่พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถใช้ชายคนนี้ ประกาศแก่สภาแซนฮีดริน สภาสูงสุดของยิว ว่า “พระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา” ด้วยเหตุผลที่ไม่มีแม้สักคนเดียวในสภานั้นสามารถโต้เถียงเขาได้

– ช่างเป็นการรับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่และสง่างามจริงๆ

การประยุกต์ใช้ :

– พระเจ้าทรงสามารถใช้ชายที่ไร้ค่า สิ้นหวัง ไร้อนาคต ทำสิ่งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ได้ฉันนั้น พระองค์ก็ทรงสามารถใช้คนอย่างเรา ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระองค์ได้ฉันนั้น

– ถ้าคุณเคยสิ้นหวัง รับรองได้ว่า ความสิ้นหวังของคุณเทียบไม่ได้กับชายตาบอดแต่กำเนิดคนนี้ “ ตั้ง​แต่​สมัย​ไหนๆ ก็​ไม่​เคย​มี​ใคร​ได้​ยิน​ว่า​มี​คน​สา​มารถ​ทำ​ให้​ตา​ของ​คน​ที่​บอด​แต่​กำ​เนิด​มอง​เห็น​ได้” แต่ถึงกระนั้นพระเจ้ายังคงใช้เขาได้

– ถ่อมใจลง เปิดใจออก ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนเราเถิดว่า “สิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เรามีอยู่วันนี้ พระองค์จะทรงสามารถใช้ทำสิ่งใด เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์”

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:33 ) { ถ้อยคำอันประกอบด้วยปัญญา }

แนวคิด :

– ชายผู้ที่พระเยซูรักษาให้หายตาบอด อธิบายให้พวกฟาริสีฟังว่า ปราศจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถทำให้คนที่ตาบอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ อย่างอัศจรรย์เช่นนี้

– ตามประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ พันกว่าปีต่อมาหลังจากสมัยนั้น ในปี ค.ศ.1728 William Cheselden เป็นคนแรกที่รักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้ด้วยการผ่าตัด  (ข้อมูลจาก wikipedia หัวข้อ William_Cheselden)

– แต่กรณีของชายคนนี้ เขาหายจากตาบอดแต่กำเนิด ไม่ใช่ด้วยการผ่าตัด แต่ด้วยการอัศจรรย์ จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า พระเยซูมาจากพระเจ้า ซึ่งหมายถึงพระเยซูเป็นพระมาซีฮา นั่นเอง

– จาก 4 ข้อที่ผ่านมา (ข้อ 30-33 ) ชายขอทานไร้การศึกษาผู้นี้ สามารถอธิบายยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา ด้วยข้อความที่บรรดานักศาสนา ผู้เชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้า ไม่อาจอ้าปากเถียงได้แม้แต่คำเดียว (ในข้อต่อไปชี้ชัดว่าพวกเขาเถียงไม่ได้ จึงใช้อำนาจที่พวกเขามี มาปิดปากชายผู้นี้แทน)

การประยุกต์ใช้ :

– ชายขอทานไร้การศึกษาผู้นี้ เขาพยายามพูดเพื่อเป็นพยานฝ่ายพระเยซู พระเจ้าจึงประทานถ้อยคำอันเต็มไปด้วยสติปัญญา จนไม่มีใครโต้แย้งได้แก่เขา

– ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ไร้ความสามารถ ไร้ความรู้ มากสักเพียงใดก็ตาม หากเราตั้งใจพูดเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อเราเริ่มพูดนั้นพระเจ้าเองจะเป็นผู้ประทานถ้อยคำอันเต็มไปด้วยสติปัญญาแก่เรา เพื่อถ้อยคำเหล่านั้นจะถวายพระเกียรติแด่พระองค์

– มธ. 10:19-20  แต่เมื่อพวกเขามอบตัวท่านนั้น อย่ากังวลว่าจะพูดอะไรหรืออย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คำที่พวกท่านจะพูดนั้น พระเจ้าจะประทานแก่พวกท่าน เพราะว่าผู้ที่พูดไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่านผู้ตรัสผ่านท่าน

– อย่ากลัว อย่าอาย ที่จะกล่าวถ้อยคำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า เพราะเมื่อเราทำเช่นนั้นพระเจ้าเองจะทรงเป็นผู้สนับสนุนถ้อยคำของเรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:34 ) { เล่นนอกเกมส์ }

แนวคิด :

– ชายที่พระเยซูรักษาให้หายจากตาบอด ได้อธิบายให้พวกฟาริสีฟัง ว่าพระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮา ด้วยเหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถเถียงได้

– พอพวกเขาเถียงไม่ได้จึงหันมา เล่นนอกเกมส์ ด้วยการด่าและเหยียดหยามชายคนนั้นแทน โดยเหยียดหยามว่า “เอ็ง​มัน​บาป​มา​ตั้ง​แต่​เกิด​แล้ว” แปลความได้ว่า เขาเกิดมาตาบอดเพราะทั้งพ่อแม่ทำบาปและเพราะตัวเขาชั่วเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเยซูพูดถึงชายคนนี้

– (ยน. 9:3) พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ไม่​ใช่​คน​นี้​หรือ​พ่อ​แม่​ของ​เขา​ที่​ทำ​บาป แต่​เขา​เกิด​มา​ตา​บอด​เพื่อ​ให้​พระ​ราช​กิจ​ของ​พระ​เจ้า​ปรา​กฏ​ใน​ตัว​เขา”

– พวกเขาดูถูกชายคนนั้นว่า เต็มไปด้วยบาปมีสิทธิอะไรมาสอนพวกเขา คำพูดนี้แท้จริงกำลังกล่าวโทษพวกเขาเอง

>> พวกเขาเองกำลังยโส หลงตัวเองคิดว่าตนเองไม่มีบาป

>> พวกเขาบอกว่า ชายคนนั้นกำลังสอนพวกเขาและเป็นคำสอนที่พวกเขาไม่อาจโต้แย้งได้พวกเขาจึงไม่โต้แย้ง นั่นก็คือ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นใจที่แข็งกระด้างของพวกเขาว่า ขนาดคนบาปตั้งแต่เกิดยังสามารถรับรู้ จนกระทั่งสอนได้เลยว่า พระเยซูเป็นพระมาซีฮา แล้วพวกเขาที่เป็นอาจารย์ของพวกยิว กลับมองไม่ออกว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา

– หลังจากเหยียดหยามชายคนนั้นแล้ว พวกเขาก็อเปหิชายคนนั้นออกจากธรรมศาลา ซึ่งเป็นการลงโทษที่รุนแรงมาก (ดูคำอธิบายเพิ่มเติมได้ ใน แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ยน. 9:22)

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อชายที่หายตาบอดคนนี้ ยืนยันเพื่อพระเยซู สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ก็คือ การถูกเหยียดหยาม และ การถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขากำลังจะได้พบในข้อต่อๆมา คือพระพรอันยิ่งใหญ่

– การทำสิ่งที่ถูกต้องจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ผลที่ออกมาในช่วงแรกๆ อาจจะไม่ได้เกิดเป็นผลดีเสมอไป แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเกิดผลดีและนำพระพรที่ยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิต

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:35 ) { สุดคุ้ม!!! }

แนวคิด :

– หลังจากที่ชายคนที่พระเยซูรักษาหายตาบอดแต่กำเนิด ถูกพวกฟาริสีขับออกจากธรรมศาลา ไม่ให้มีส่วนในศาสนพิธีในธรรมศาลาอีกต่อไป

– ต่อมา “เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​พบ​เขา”  วลีนี้ หมายความว่า ไม่ใช่พบโดยบังเอิญ แต่เพราะพระองค์ทรงทราบว่าเขาถูกขับออกจากธรรมศาลา พระองค์ออกตามหาเขาจนพบ

– ชายคนนี้สูญเสียการเข้าส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาของพวกยิว แต่เขาได้พบกับพระเยซู จริงๆเท่ห์มากๆด้วย คนจำนวนมากในพระคัมภีร์มาพบพระเยซู แต่สำหรับชายคนนี้พระเยซูมาพบเขา

– ชายคนนี้ไม่รู้จักพระเยซูมากนัก เขารู้แค่พระองค์ชื่อเยซู เป็นผู้เผยพระวจนะจากพระเจ้า และน่าจะเป็นพระมาซีฮาที่พวกยิวทั้งรอคอย

– พระเยซูจึงถามเขา โดยยิงคำถามตรงไปที่สิ่งที่เขารู้ว่า “เขาวางใจในพระมาซีฮาหรือไม่?” (บุตรมนุษย์ เล็งถึง พระมาซีฮา) เพื่อนำเขามาถึงพระเยซูโดยเร็วที่สุด

การประยุกต์ใช้ :

– ชายคนนี้เมื่อเขายืนยันเป็นพยานเพื่อพระเยซู ดูเหมือนเขาจะสูญเสียทุกสิ่ง แต่ปรากฏว่าเขากลับได้รับสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งที่เขาสูญเสียไปมากมายจนเทียบค่ากันไม่ได้เลย

– พระองค์ผู้ที่แม้แต่นิโคเดมัส สมาชิกแห่งสภาแซนดรินยังต้องมาขอเข้าพบ (ยน.3) แต่วันนี้พระองค์ผู้นั้นกลับมาตามหาเขาจนพบ

– พระองค์ที่คนมากมายพยายามแสวงหาเพื่อจะมาพบกับพระองค์ วันนี้พระองค์ผู้นี้มาแสวงหาเพื่อพบเขา

– พระเยซูผู้เป็นพระมาซีฮา ที่คนยิวทั้งชาติรอคอยมาเป็นเวลานาน บัดนี้กลับมาสำแดงพระองค์เองแก่เขา

– ไม่มีการสูญเสียใดๆมากเกินไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะได้รับ จากการยืนยันเพื่อพระเยซู

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:36 ) { แสวงหาเพื่อจะวางใจ }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูถามชายคนที่พระองค์รักษาให้หายตาบอดว่า เขาวางใจในบุตรมนุษย์หรือเปล่า? เขาจึงถามพระเยซูกลับว่า ใครคือบุตรมนุษย์?

– คำถามนี้ไม่ได้ หมายถึง ถามว่าบุตรมนุษย์แปลว่าอะไร คนนั้นเข้าใจอยู่แล้วว่า บุตรมนุษย์แปลว่า พระมาซีฮา

– แต่คำถามนี้ หมายถึง กำลังถามว่า บุตรมนุษย์คือคนไหนครับ

– ชายคนนี้ไม่เคยเห็นหน้าพระเยซูมาก่อน แต่เขาอยากจะเจอพระเยซู เพื่อเขาจะวางใจในพระองค์เมื่อเขาพบกับพระองค์

– เขาตั้งใจที่จะวางใจในพระองค์ ตั้งแต่เขายังไม่ได้พบพระองค์เลย

– เขาพยายามแสวงหาพระองค์เพื่อที่จะได้วางใจในพระองค์ ด้วยท่าทีเช่นนี้ พระองค์มาพบเขาก่อนที่เขาจะหาพระองค์พบเสียอีก

การประยุกต์ใช้ :

– สถานการณ์ของเราในวันนี้ หากเราแสวงหาพระเจ้า ด้วยท่าทีที่ตั้งใจจะวางใจในพระองค์  คำตอบแห่งทางออกของสถานการณ์นั้น จะมาถึงเราก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก

– เมื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยท่าที่ต้องการวางใจและเชื่อฟังพระองค์ ไม่นานเกินรอเราจะรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ในเรื่องนั้นๆอย่างแน่นอน

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:37 ) { เราอยู่นี่แล้ว }

แนวคิด :

– พระเยซูพูดกับชายที่หายตาบอดผู้ซึ่งกำลังแสวงหาที่จะเห็นกับพระองค์ว่า เขาได้เห็นพระองค์แล้ว พระองค์กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขาที่เอง

– เขาเคยมีประสบการณ์ ตาของเขาที่มืดมิดกลับได้เห็นแสงสว่าง และบัดนี้เขาได้มีประสบการณ์ที่สูงส่งมากยิ่งขึ้นกว่านั้นอีก เขาได้เห็นพระองค์ผู้เป็นความสว่างของโลก

– พระองค์เปิดเผยพระองค์เองแก่เขา คล้ายกับ ตอนที่พระองค์พูดกับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ ใน ยน. 4:26 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​นาง​ว่า “เรา​ผู้​ที่​พูด​กับ​เธอ​เป็น​ผู้​นั้น”

– พระองค์เต็มใจสำแดงพระองค์แก่ผู้ที่หิวกระหายพระองค์ ไม่ว่าคนนั้นจะต่ำต้อยสักเพียงใด

การประยุกต์ใช้ :

– พระองค์ทรงยืนอยู่ต่อหน้าเราเสมอ พร้อมที่จะเปิดเผย สำแดงพระองค์เอง มากขึ้นแก่เราในทุกๆวัน วันนี้เราหิวกระหายที่อยากจะพบกับพระองค์ อยากที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นหรือยัง?

– วันนี้ เราลงทุนชีวิต ส่วนใหญ่ของเราในการหาอะไร? 

– หาพระองค์ผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิต หาเงิน หาแฟน หาความรัก หาการยอมรับ หาชื่อเสียง หาความมั่นคง หามือถือใหม่ หาสิ่งที่คนเรียกว่าการประสบความสำเร็จในชีวิต หาความสุขสำราญแห่งโลกนี้ ฯลฯ

– ผู้ที่หิวกระหายจะพระองค์ จะได้อิ่มบริบูรณ์ในความอิ่มเอมของการทรงสถิตของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:38 ) { ตอบสนองอย่างคนตาสว่าง }

แนวคิด :

– เมื่อชายที่หายตาบอด รู้ว่าเขาได้พบพระเยซูแล้ว เขาจึงต้อนรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นจอมเจ้านายของเขา และเขาขอวางใจในพระองค์ แล้วเขาก็นมัสการยกย่องพระองค์

– ชายคนนี้เมื่อเขาพบว่าพระเยซูอยู่ต่อหน้าเขา เขาให้พระองค์เป็นเจ้านาย เขาวางใจในพระองค์ และเขาแสดงออกเป็นการกระทำ

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้ พระเยซูทรงสถิตกับเรา เราจะตอบสนองต่อพระองค์อย่างไร

– ทำตามใจตัวเอง หรือ ทำตามใจจอมเจ้านาย

– ไว้ใจในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แล้วตามมาด้วยความกังวลใจ  หรือ ไว้วางใจในพระองค์สำหรับการเคลี่ยคลายปัญหานั้น

– ทำสิ่งสารพัดเพื่อความสุขของตนเองและของครอบครัว หรือ ทำทุกสิ่งเพื่อถวายพระเกียรติของพระองค์

– ชายที่เคยตาบอดพบพระเยซู แล้วเขาตอบสนองอย่างคนที่ตาสว่าง วันนี้เราพบพระเยซูแล้ว อย่า ให้เราตอบสนองอย่างคนตาบอดเลย

(ในข้อต่อมา พระเยซูบอกว่า พวกฟาริสีตาบอด)

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:39 ) { คน 2 ประเภท }

แนวคิด :

– เมื่อชายที่หาจากตาบอดแต่กำเนิด ที่ถูกขับไล่ออกจากธรรมศาลาของยิว ได้พบกับพระเยซู เขาก็ต้อนรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา

– พระเยซูจึงตรัสว่า พระเจ้าเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา

– พระเยซูตรัสว่า พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษา ใน ยน. 3:17 “ เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​บุตร​เข้า​มา​ใน​โลก ไม่​ใช่​เพื่อ​พิ​พาก​ษา​โลก แต่​เพื่อ​ช่วย​กู้​โลก​ให้​รอด​โดย​พระ​บุตร​นั้น”

– การพิพากษาใน ยน.9:39 นี้ จึงไม่ได้หมายถึง ทำการพิพากษา แต่หมายถึง การมาของพระองค์จะทำให้เกิดการพิพากษา เพราะจะแยกมนุษย์ออกเป็น 2 พวก ซึ่งจะเป็นการพิพากษาโดยปริยาย

– มนุษย์จะถูกแบ่งออกเป็น 2 พวก ในวันพิพากษา คือ พวกที่เคยตาบอด กับ พวกที่ยังคงตาบอดอยู่

– พระเยซูบอกว่า พระองค์จะทำให้ “คนที่​มอง​ไม่​เห็น​กลับ​มอง​เห็น และ​คน​ที่​มอง​เห็น​กลับ​ตา​บอด”  พระเยซูไม่เคยทำให้คนมองเห็น ตาบอด แสดงว่า ประโยคนี้น่าจะมีความหมายในฝ่ายวิญญาณมากกว่า เรื่องกายภาพ

– “คนที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น” หมายถึง คนที่มืดบอดในบาป ได้เห็นความรอดในพระเจ้า

– “คนที่มองเห็นกลับตาบอด” หมายถึง คนที่พวกเขาคิดว่าตนเองเห็นความรอดในพระเจ้าได้ด้วยตนเอง เย่อหยิ่ง ยโส ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมืดบอด ไม่ต้องการกลับใจ คนเหล่านั้นก็จะอยู่ในความมืดบอดจนถึงวันพิพากษา

การประยุกต์ใช้ :

– คนตาบอด ที่ถ่อมใจ เปิดรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาจะมองเห็นทางสว่าง

– คนตาบอด ที่เย่อหยิ่ง ไม่พึ่งพาพระเจ้า  เขาจะอยู่ในความมืดมนต่อไป มืดแปดด้าน หาทางออกไม่พบไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดก็ตาม

– สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ เราจะเผชิญมันด้วยท่าทีใด เย่อหยิ่ง พยายามแก้ไขโดยตนเองต่อไป หรือ ถ่อมใจ คุกเข่าลงร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างจริงใจ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.9:40 ) { บอดสนิท }

แนวคิด :

– พวกฟาริสีบางคน ติดตามพระเยซู คอยดู คอยสังเกตพระเยซู เพื่อที่จะหาโอกาสที่จะจับผิดพระองค์ เมื่อพวกเขาได้ยินพระเยซูตรัสว่า พระองค์ทำให้คนที่มองเห็นกลับตาบอด(ข้อ 39)

– พวกเขาจึงพูดแย้งว่า พวกเขาตาบอดด้วยหรือ?

– คนตาบอดฝ่ายวิญญ