แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:1) { อุโมงค์ถูกเปิดออกแล้ว }

แนวคิด :

– ในวันต้นสัปดาห์ ซึ่งก็คือ วันอาทิตย์ นับเป็นวันที่ 3 ตั้งแต่ที่เขาฝังพระศพของพระเยซู ในเย็นวันศุกร์ ก่อน 6 โมงเย็น (ชาวยิวนับว่า หลัง 6 โมงเย็นเป็นวันใหม่)

– ในเวลาเช้ามืด ซึ่งน่าจะเป็นเวลาช่วง ตี3-6โมงเช้า มารีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา มารีย์​มาร​ดา​ของ​ยากอบ​พร้อม​กับ​นาง​สะ​โล​เม (มก. 16:1) ได้​นำเครื่องหอมมาเพื่อ​ชโลม​พระ​ศพ​ของ​พระ​เยซู ในยอห์น บันทึกแค่ ชื่อของมารีย์มักดาลา คงเพราะต้องการเน้นเหตุการณ์ที่พระเยซูพบกับนางเป็นส่วนตัว(ยน. 20:11-18)

– เมื่อมารีย์มักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ ซึ่งเดิมทีถูกปิดไว้อย่างแน่นหนามีประตราของปีลาต ห้ามเปิดก่อนได้รับอนุญาต และมีทหารเฝ้าคุมไว้(มธ. 27:65-66 ) พวกนางก็พบว่าหินปิดปากอุโมงค์ถูกยกออกไปแล้ว

– การมาของมารีย์มักดาลานี้ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นความตั้งใจจริงของเธออย่างมาก เมื่อลองไล่ลำดับเวลาดู

– วันศุกร์ พระเยซูสิ้นพระชนม์ บ่าย 3 โมง กว่าโยเซฟชาวอาริมาเธีย จะไปเจรจาขอพระศพพระเยซูจนสำเร็จ เวลาคงผ่านไปพอสมควร กว่าจะเชิญพระศพลงมา แล้วเอาเครื่องหอมชโลมแล้วพันผ้าพระศพ แล้วนำไปฝังที่อุโมงค์ ใน มธ. 27:61 บอกว่ามารีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา​กับ​มารีย์​อีก​คน​หนึ่ง​ก็​นั่ง​อยู่​ที่​นั่น​ตรง​หน้า​อุโมงค์

– มาถึงจุดนี้ เวลาคงใกล้ 6 โมงเย็นเต็มทีแล้ว วันสะบาโตกำลังจะเริ่มแล้ว ซึ่งชาวยิวจะไม่ทำงานใดๆ

– ยน.20:1 บอกว่า “เวลาเช้ามืด” มารีย์มักดาลา ก็มาที่อุโมงค์แล้ว พร้อมกับเครื่องหอม (ลก. 24:1)

– สังเกตดูว่า มารีย์มักดาลา มีเวลาน้อยมากสำหรับการเตรียมเครื่องหอม นางคงต้องรีบมากทีเดียวจึงเตรียมได้ทัน เช้ามืดวันอาทิตย์ได้

– และอีกประการหนึ่ง ข่าวเรื่องที่ปีลาตให้ทหารคุมอุโมงค์แน่นหนา น่าจะแพร่ไปทั่วแล้ว ในมก. 16:3 พวกผู้หญิง​พูด​กัน​​ว่า “ใคร​จะ​ช่วย​กลิ้ง​ก้อน​หิน​ออก​จาก​ปาก​อุโมงค์” เพราะก้อนหินนั้นใหญ่ มารีย์มักดาลา แม้มีความหวังเพียงน้อยนิดที่จะสามารถชโลมพระศพพระเยซูได้ แต่ถึงกระนั้นเธอยังทำอย่างสุดความสามารถและทำอย่างกระตือรือร้น

การประยุกต์ใช้ :

– มารีย์มักดาลา พยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำถวายแด่พระเยซู ปรากฏว่าเธอทำส่วนของเธออย่างเต็มที่ แต่ส่วนที่เกินกำลังนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้แก่เธอเอง

– อย่างไรก็ดี แม้เธอจะทำอย่างสุดกำลังของเธอแล้วก็ตาม สิ่งที่เธอเตรียมมาก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ดูเหมือนงานที่เธอทุ่มเททำลงไปนั้นจะไม่มีประสิทธิผลอะไรเลยต่อแผนการของพระเจ้า ถึงกระนั้นการกระทำของเธอนี้ พระเจ้าก็ยังคงประทานเกียรติให้แก่เธอ สิ่งที่เธอได้พยายามทำนี้ ถูกบันทึกในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม และมีคนหลายพันล้านคนทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ได้รับรู้สิ่งที่เธอได้กระทำถวายแด่พระเยซูที่เธอรักด้วยสุดใจ

พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง ไม่ได้ทอดพระเนตรที่ความยิ่งใหญ่หรือความสำเร็จของงาน แต่ทอดพระเนตรดูท่าทีแห่งหัวใจที่ทำถวายแด่พระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:2) { เขาเอาพระองค์ไปไหนก็ไม่รู้! }

แนวคิด :

– เมื่อมารีย์มักดาลา เห็นว่าอุโมงค์ถูกเปิดออกแล้ว และไม่มีพระศพของพระเยซูอยู่ในนั้น นางจึงรีบวิ่ง จากอุโมงค์นั้นซึ่งอยู่ใกล้โกละโกธา (ยน. 19:42) เข้าไปในเมืองเพื่อบอกเปโตรและยอห์น

– ใน ลก. 24:11 อธิบายว่าเธอได้แต่บอกกับพวก​อัคร​ทูตคนอื่นๆด้วยแต่พวกเขา​ไม่​เชื่อ เห็น​ว่า​เป็น​คำ​เหลว​ไหล มีแต่เปโตรกับยอห์นเท่านั้นที่เชื่อแล้ววิ่งออกไปดูที่อุโมงค์ ยอห์นจึงบันทึกว่า นางมารีย์มักดาลาได้ไปบอกแก่เปโตรและยอห์น

– เธอบอกพวกเขาว่า มีคนมาเอาพระศพของพระเยซูไป และพวกเรา(ซึ่งหมายถึงมารีย์มักดาลาและผู้หญิงคนอื่นๆที่ไปด้วยกัน) ไม่รู้ว่าเขาเอาพระศพของพระเยซูไปไว้ที่ไหน

– มาถึงตอนนี้ มารีย์มักดาลาไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระเยซูและคิดไม่ถึงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู เธอรู้อย่างเดียวว่าพระศพหายไป และเธอก็พยายามทำอย่างสุดความสามารถที่จะทำอะไรบางอย่างแด่พระเยซู เท่าที่เธอทำได้คือรีบวิ่งไปบอกพวกอัครสาวก

การประยุกต์ใช้ :

– เวลานั้น พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่เนื่องจากมารีย์มักดาลายังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ดังนั้นการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูจึงยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ

เวลานี้ พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ แต่หากเราไม่ตระหนักว่าวันนี้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่กับเรา เราก็ยังคงตกอยู่ในความหวาดกลัว ความวิตกกังวลต่อไป ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วก็ตาม

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:3) { เปโตรกับยอห์น }

แนวคิด :

– หลังจากที่มารีย์มักดาลามาบอกกับพวกสาวกว่าพระศพของพระเยซูหายไป พวกสาวกส่วนใหญ่ไม่สนใจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล(ลก. 24:11) มีแต่เปโตรกับยอห์นเท่านั้น ที่มีปฏิกริยากับข่าวนี้

– พวกเขาทั้งสองรีบออกไปดูที่อุโมงค์ ในข้อ4 บอกว่าพวกเขาไม่ได้เดินไปแต่รีบวิ่งไปดูเลย แสดงถึงความกระตือรือร้นอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระศพของพระเยซู

– สาวกคนอื่นๆไม่ได้ออกไปดูที่อุโมงค์ อาจเพราะไม่เชื่อสิ่งที่มารีย์มักดาลาพูด หรืออาจเพราะดูเหมือนมีพิรุธ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ศพถูกฝังแล้ว จะหายไปได้อย่างร ต้องเป็นกับดักของพวกยิวแน่ที่จะล่อพวกเราออกไป เพื่อจะดักจับพวกเรา

– เปโตรและยอห์น แม้ยังไม่เชื่อนัก ใน ยน. 20:8 บอกว่า เมื่อพวกเขามาเห็นว่าพระศพหายไปจริงๆ แล้วจึงค่อยเชื่อคำที่มารีย์มักดาลาได้กล่าว แต่พวกเขาก็รีบวิ่งออกไปดูที่อุโมงค์ โดยไม่หวั่นกลัวว่าจะเป็นกับดักด้วยซ้ำไป (หรืออาจเพราะคิดไม่ถึงก็ไม่ทราบ)

– เปโตร ผู้นี้ คือคนที่ เมื่อ 3 วันก่อน ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นสาวกของพระเยซูต่อหน้าผู้คนถึง 3 ครั้ง บัดนี้เป็นโอกาสอีกครั้งที่เขาจะแก้ตัวทำอะไรเพื่อพระเยซูอีกสักครั้ง แม้มันจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม เขาจึงรีบวิ่งออกไปที่อุโมงค์

>>> อะไรทำให้เปโตรวิ่งออกไปที่อุโมงค์? ก็คือ การที่เปโตรสำนึกในความผิดที่ตนได้ทำไป จึงเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อพระเยซู นี่คือการกลับใจที่แท้จริง เมื่อสำนึกผิดจึงลงมือทำบางอย่างในสิ่งที่ถูก

– ยอห์น ผู้นี้ คือสาวกที่ ตอนพระเยซูถูกจับเขาตามพระเยซูไป ดูอยู่ห่างๆ และตอนพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เขาเข้ามาใกล้พระองค์ จนขนาดที่สามารถได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของพระองค์ได้(ยน. 19:26-27) ยอห์นผู้นี้เอง ที่เขาบันทึกว่า เขาคือสาวกที่พระเยซูทรงรัก

>>> อะไรทำให้ยอห์นวิ่งออกไปที่อุโมงค์? ก็คือ การที่เขารู้ตัวว่าเขาเป็นสาวกที่พระเยซูทรงรัก ความจริงแล้วพระเยซูทรงรักสาวกทุกคนอย่างที่สุด ใน ยน. 13:1 “… พระ​องค์​ทรง​รัก​เขา​ทั้ง​หลาย​จน​ถึง​ที่​สุด” แต่ดูเหมือนเวลานั้น มีแต่ยอห์นเท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงความรักของพระองค์ที่ทรงรักเขา เขาจึงตอบสนองต่อความรักนั้นด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ

การประยุกต์ใช้ :

จงกลับใจเหมือนเปโตร หยุดทำสิ่งผิดที่เคยทำ แล้วทำสิ่งตรงกันข้าม คือหันมาทำสิ่งถูกที่ควรทำ

– เปโตร เคยกลัวที่จะให้คนรู้ว่าเป็นพวกของพระเยซู จนกระทั่งเขาปฏิเสธพระเยซู บัดนี้เขาไม่กลัวที่จะวิ่งไปที่อุโมงค์ฝังพระศพพระเยซู ถึงแม้อาจจะทำให้มีคนรู้ก็ได้ว่าเขาเป็นพวกของพระเยซู

จงรับรู้ความรักของพระเยซูที่มีต่อเรา เหมือนยอห์น แล้วโดยการรับรู้นั้นจะเป็นแรงผลักดันให้เราทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:4) { ยอห์นมาถึงก่อน }

แนวคิด :

– เมื่อเปโตรและยอห์น ได้ยินว่าพระศพของพระเยซูหายไป เขาจึงรีบวิ่งออกไปดูที่อุโมงค์ในทันที

– ข้อนี้ ยอห์นระบุว่า ยอห์นซึ่งหนุ่มกว่า วิ่งเร็วกว่าเปโตร  เพื่อที่จะสื่อว่า เปโตรเป็นสาวกคนแรกที่เข้าไปในอุโมงค์ เป็นสาวกคนแรกที่เป็นสักขีพยาน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู(ข้อ 6)

– คือ ยอห์นระบุว่า ขนาดเขามาถึงก่อน เขาก็ยังมัวแต่ลังเลไม่กล้าเข้าไป แต่เปโตรมาถึงเข้าไปดูเลย

การประยุกต์ใช้ :

– จากการจัดฉากของพระเจ้าในเหตุการณ์นี้ แม้ยอห์นผู้มาถึงก่อน น่าจะเป็นคนแรกในพวกสาวกที่ได้เข้าไปในอุโมงค์ แต่ดูเหมือนเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะให้เปโตร ผู้ปฏิเสธพระเยซูมากกว่าสาวกคนอื่นๆถึง 3 ครั้ง กลับได้เป็นคนแรกในบรรดาสาวก ที่ได้เข้าไปเป็นสักขีพยานในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู

เปโตรทำผิดมากเมื่อหลายวันก่อน แต่วันนี้เมื่อเขากลับใจ หันกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดใจ พระเจ้าไม่ดูหมิ่นเขา แต่กลับประทานเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้แก่เขา คือ เป็นสาวกคนแรกในบรรดาพวกสาวกที่ได้เข้าไปเห็นและเป็นสักขีพยานว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในอุโมงค์แล้ว

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:5) { เห็นผ้าวางอยู่ }

แนวคิด :

– เมื่อยอห์นวิ่งมาดูที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซู เขาวิ่งมาถึงก่อนเปโตร(ข้อ 4) แต่เขาไม่กล้าเข้าไปข้างใน น่าจะเพราะความกลัวบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนยอห์นจงใจเขียนถึงความอ่อนแอของตนในประเด็นนี้

– ยอห์นไม่ได้เข้าไปก็จริง แต่เขาได้ก้มดูจากปากอุโมงค์ ซึ่งตามปกติอุโมงค์ฝังศพของยิวมัก ขุดต่ำลงไปจากปากอุโมงค์ ราว 2-3 เมตร

– เมื่อเขาก้มดู เขาก็เห็นว่ามีผ้าพันพระศพวางอยู่ แต่ไม่เห็นพระศพ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าพระศพอาจถูกย้ายไปอีกตำแหน่งหนึ่งที่เขามองไม่เห็นก็ยังเป็นไปได้

– อย่างไรก็ดีสามารถกล่าวได้ว่า ยอห์นเป็นสาวกคนแรกที่ได้เห็นผ้าพันพระศพหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย

การประยุกต์ใช้ :

– ในความอ่อนแอ ความขลาดกลัวของยอห์น จึงทำให้เขาไม่ได้เข้าไปในอุโมงค์แล้วเป็นสาวกคนแรกที่พบว่าพระเยซูไม่อยู่ในอุโมงค์แล้ว

-ถึงกระนั้น พระเจ้าก็เมตตาให้เขาได้เป็นสาวกคนแรกที่ได้เห็นผ้าพันพระศพหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

แม้ในความอ่อนแอของเรา ทำให้เราต้องพลาดสิ่งดีบางอย่างไป ถึงกระนั้นพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจ พระองค์จะทรงประทานพระพรแก่เราตามความจริงใจที่เรามีต่อพระองค์นั้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:6) { เปโตรเข้าไปในอุโมงค์ }

แนวคิด :

– เมื่อเปโตรวิ่งมาถึงอุโมงค์เพื่อดูว่าข่าวที่พวกผู้หญิงบอกเกี่ยวกับพระศพหายไปนั้นเป็นจริงหรือไม่

– ยอห์นซึ่งวิ่งมาถึงก่อน กำลังหยุดยืนอยู่ปากอุโมงค์ ไม่กล้าเข้าไป(ข้อ 5)

– เปโตรซึ่งมาถึงทีหลัง ไม่รีรอแบบยอห์น แต่รีบรุดเข้าไปในอุโมงค์ทันที แล้วก็เห็นผ้าพันพระศพวางพับไว้อยู่ แต่ไม่เห็นพระศพของพระเยซูในนั้น

การประยุกต์ใช้ :

– เพราะความกล้าหาญ หรือ อาจจะเพราะความหุนหันพลันแล่นของเปโตร ทำให้เขาได้เป็นคนแรกในพวกสาวกที่เป็นสักขีพยานว่า พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– ไม่ว่าจะเป็นความเข้มแข็งของเรา หรือจุดอ่อนของเรา พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถใช้สิ่งนั้นกลายเป็นพระพรแก่เราได้เสมอ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:7) { ผ้าถูกพับไว้ }

แนวคิด :

– เมื่อเปโตรเข้าไปในอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซู เขาไม่พบพระศพพระเยซู เห็นแต่เพียงผ้าป่านที่โยเซฟชาวอาริมาเธียและนิโคเดมัส ใช้พันพระศพเท่านั้น(ยน. 19:40)

– เปโตรเห็นผ้าป่านที่พันพระเศียรพับแยกไว้ต่างหาก แยกออกจากผ้าที่พันพระศพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่เร่งรีบ ซึ่งหากเป็นคนมาขโมยพระศพคงกระทำอย่างเร่งรีบ

– แต่นี่น่าจะเป็นฝีมือของทูตสวรรค์ทั้งสอง ที่พวกผู้หญิงพบที่อุโมงค์ ใน ลก. 24:4

การประยุกต์ใช้ :

– พระเจ้าทรงมีแผนการล้ำเลิศและพระองค์ทรงปราณีตในแผนการนั้น

– ในเวลาต่อมา ใน มธ. 28:12-13 ​พวก​หัว​หน้า​ปุโร​หิต​แจก​เงิน​ก้อน​ใหญ่​ให้​กับ​พวก​ทหาร แล้วสั่งว่า ให้ปล่อยข่าวว่ามีคนมาขโมยพระศพไปตอนพวกเขาหลับอยู่

– ซึ่งการที่ผ้าพันพระศพถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย แถมยังแยกด้วยว่าผืนไหนพันพระเศียร ผืนไหนพันพระกาย เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่การกระทำของขโมยที่ต้องทำอย่างเร่งรีบ แต่เป็นการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูจริงๆ

– เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าผลกระทบนั้นจะเป็นอย่างไร แต่พระเจ้าทรงทราบและพระองค์ทรงจัดเตรียมอย่างปราณีตสำหรับเราผู้เป็นที่รักของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:8) { เห็นและเชื่อ }

แนวคิด :

– เมื่อเปโตรเข้าไปในอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูแล้ว(ข้อ 6) จากนั้นซึ่งตอนแรกไม่กล้าเข้า ก็ตามเข้ามาด้วย

– แล้วยอห์นก็เห็นจริง ตามสิ่งที่พวกผู้หญิงบอกว่า พระศพหายไป เมื่อเห็นแล้วเขาจึงเชื่อว่าพวกผู้หญิงพูดจริง

การประยุกต์ใช้ :

– ยอห์น สงสัยในคำของพวกผู้หญิง จนกระทั่งเมื่อเขาได้เห็นกับตา จึงเชื่อว่าพวกผู้หญิงพูดจริง

– และยอห์น ก็ไม่เชื่อในคำพูดของพระเยซูเช่นกัน ว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม (มธ. 17:23) จนกระทั่งพระเยซูปรากฏแก่เขา เขาจึงเชื่อ(ยน. 20:19)

– แต่ความเชื่อพระเยซูปรารถนาให้สาวกของพระองค์มี คือ เชื่อโดยไม่จำเป็นต้องเห็นก่อน

– ดังที่พระเยซูตรัสกัยโธมัส ใน ยน. 20:29 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “เพราะ​ท่าน​เห็น​เรา​ท่าน​จึง​เชื่อ​หรือ? คน​ที่​ไม่​เห็น​เรา​แต่​เชื่อ​ก็​เป็น​สุข”

– วันนี้ เราจะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเชื่อถ้อยคำของพระเจ้าอย่างไม่สงสัยแม้ยังไม่ได้เห็น หรือเราจะต้องรอให้เห็นก่อนแล้วถึงจะยอมเชื่อ?

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:9) { ไม่เข้าใจ }

แนวคิด :

– เมื่อยอห์นได้เข้าไปในอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซู ได้เห็นว่าพระศพหายไป เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เพราะว่าเขาไม่ได้เชื่อตามที่พระเยซูเคยกล่าวไว้หลายครั้ง

– อย่างเช่นใน มธ. 12:40 พระเยซูตรัสว่า “เพราะ​ว่าโย​นาห์​อยู่​ใน​ท้อง​ปลา​มหึมา​สาม​วัน ​สาม​คืน ​อย่าง​ไร บุตร​มนุษย์​จะ​อยู่​ใน​ท้อง​แผ่น​ดิน​สาม​วัน​สาม​คืน​อย่าง​นั้น”

– เขาจึงไม่ได้ฉุกคิดขึ้นมาว่า ความจริงแล้วพระศพไม่ได้หายไป แต่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วตามที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้

การประยุกต์ใช้ :

– ทั้งที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และ ยอห์นก้ได้เห็นแล้วว่าอุโมงค์ถูกปิดออกและพระศพหายไป แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– ก็เพราะว่า เขาไม่ได้เชื่อจริงๆ ในถ้อยคำที่พระเยซูได้กล่าวไว้

การเชื่อวางใจในพระคำของพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ มีมากเท่าใด ก็จะช่วยทำให้เราเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเรา ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:10) { กลับบ้านดีกว่า }

แนวคิด :

– หลังจากที่เปโตรและยอห์น เข้าไปดูในอุโมงค์แล้วพบว่า พระศพของพระเยซูไม่อยู่ในอุโมงค์แล้ว จริงตามที่พวกผู้หญิงบอก

– พวกเขาก็กลับไปยังที่พักของตน ด้วยความประหลาดใจ(ลก. 24:12)

– พวกเขากลับบ้าน ในข้อนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่กลับบ้านที่กาลิลี เพราะพวกเขาจะพบพระเยซูในเวลาอีกไม่นานที่เยรูซาเล็ม (ลก. 24:33-36) ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปกาลิลี พบกับพระเยซูที่นั่นอีก (ยน. 21:1)

– ดังนั้น บ้านในข้อนี้ น่าจะหมายถึงที่พักของพวกเขาในช่วงเวลานั้น อาจเป็นห้องชั้นบนที่พวกเขาประชุมกัน หรืออาจหมายถึงบ้านของยอห์นในเยรูซาเล็ม เพราะยอห์นอาจจะมีบ้านอีกหลังในเยรูซาเล็ม สังเกตได้จากการที่เขาสนิทกับมหาปุโรหิต (ยน. 18:15)

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อเปโตรและยอห์น เห็นหลักฐานว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกเขาก็กลับบ้านไป

– ช่างเป็นประโยคที่ น่าตลกจริงๆ เพราะควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นหลักฐาน พวกเขาก็ระลึกถึงคำของพระองค์ได้ แล้วกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ฯลฯ

– การเป็นขึ้นมาจากความหมายของพระเยซูยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา เพราะเขายังไม่เชื่อมั่นอย่างไม่สงสัย ว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– ในเวลาต่อมา เมื่อพวกเขามั่นใจอย่างสุดหัวใจ ว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วจริงๆ จากนั้นชีวิตของพวกเขาก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลยตราบจนวันตาย

– วันนี้ หากเรามั่นใจด้วยความเชื่ออย่างไม่สงสัยว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ความจริงนี้จะมีผลเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างมหาศาล แต่หาไม่แล้วความจริงนี้ก็จะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตของเราเลย

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:11) { ยืนร้องไห้ }

แนวคิด :

– เมื่อเปโตรกับยอห์นกลับไปจากอุโมงค์แล้วด้วยความประหลาดใจที่พระศพพระเยซูหายไป(ข้อ10) แต่มารีย์ มักดาลา ยังคงยืนร้องไห้อยู่ที่หน้าอุโมงค์ ร้องไห้ไปพลางก็มองเข้าไปที่อุโมงค์พลาง

– ก่อนหน้านี้ มารีย์ มักดาลาและผู้หญิงอีกหลายคน ได้มาที่อุโมงค์แต่เช้ามืดโดยที่ก่อนหน้านี้พวกเธอได้ใช้เวลาเตรียมเครื่องหอมสำหรับชโลมพระศพ(มก. 16:1)

– แล้วมารีย์ มักดาลาก็วิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อบอกข่าวแก่พวกสาวก(ยน. 20:2)

– จากนั้นเธอก็ตามเปโตรและยอห์นกลับมาที่อุโมงค์อีก

– บัดนี้ เปโตรและยอห์นก็กลับไปแล้ว และพวกผู้หญิงคนอื่นก็กลับไปแล้วเช่นกัน

– แต่เธอยังอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้นั่งร้องไห้อย่างหมดแรงหรือท้อแท้ใจ แต่กำลังยืนร้องไห้แสดงให้เห็นถึงความกระวนกระวายใจ นั่งไม่ติด คงเพราะกำลังคิดว่ามีใครบางคนมาขโมยพระศพไปเพื่อทำอะไรบางอย่าง

– จากอากัปกริยาที่ยืนร้องไห้ และมองเข้าไปในอุโมงค์ รวมถึงคำพูดของเธอในข้อ 13 ทำให้เห็นว่า ที่เธอยังไม่กลับไปเพราะพยายามกำลังหาพระศพให้เจอ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเธอรักพระเยซูมากนั่นเอง

การประยุกต์ใช้ :

– เหตุที่พระเยซู เลือกปรากฏแก่มารีย์ มักดาลา เป็นคนแรก เป็นไปได้ว่า ก็เพราะเธอรักพระเยซูมากกว่าใคร และเธอไม่ยอมลดละ ที่จะแสวงหาพระเยซูให้พบ

– เหมือนใน ยรม. 29:13 “เจ้า​จะ​แสวง​หา​เรา​และ​พบ​เรา​เมื่อ​เจ้า​แสวง​หา​เรา​ด้วย​สิ้น​สุด​ใจ​ของ​เจ้า”

วันนี้ ถ้าเราหิวกระหายอย่างสุดจิตสุดใจ ที่อยากจะมีประสบการณ์กับพระเยซู เราจะพบพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:12) { ทูตสวรรค์นั่งอยู่ }

แนวคิด :

– ขณะที่มารีย์กำลังร้องไห้อยู่หน้าอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซู และเมื่อเธอมองเข้าไปในอุโมงค์(ข้อ11) เธอก็เห็นทูตสวรรค์ 2 องค์ นั่งอยู่ที่วางพระศพ

– น่าจะเป็นทูตสวรรค์ที่พับผ้าพันพระศพ ส่วนพระเศียรและส่วนพระกาย

– ทูตสวรรค์นั่งอยู่ เป็นอากรัปกริยาที่ไม่รีบร้อน แต่กำลังรออะไรบางอย่าง

– คือ รอเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดกับ มารีย์ มักดาลา (ข้อ13) เพื่อนำร่องให้พระเยซูพูดกับนาง(ข้อ15)

การประยุกต์ใช้ :

– พระเจ้ามีจังหวะเวลาของพระองค์ แม้แต่เหล่าทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ยังคงต้องรอจังหวะเวลาของพระองค์ แล้วเราเป็นใครที่จะไม่ยอมรอจังหวะเวลาของพระองค์

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:13) { ร้องไห้ทำไม? }

แนวคิด :

– เมื่อมารีย์ มักดาลากำลังร้องไห้แล้วหันไปเห็นทูตสวรรค์สององค์ ในอุโมงค์(ข้อ12) ทูตสววรค์จึงพูดกับนางว่า “หญิง​เอ๋ย ร้อง​ไห้​ทำไม?” ซึ่งเป็นวลีที่ พระเยซูกำลังจะพูดกับเธอ (ข้อ15) ดูเหมือนการพูดของทูตสวรรค์นี้เป็นเหมือนการเตรียมใจของเธอ ก่อนที่เธอจะพบกับพระเยซูในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

– สังเกตจากคำตอบของเธอ ดูเหมือนเธอยังไม่รู้ว่านั่นคือทูตสวรรค์ เธอจึงไม่ได้ตกใจอะไร แต่พยายามอธิบายให้ทั้งสองฟัง ถึงความปรารถนาของเธอ

– เธอพูดมีนัยว่า เผื่อทั้งสองรู้จะได้บอกแก่เธอว่า เขาเอาพระศพพระเยซูไปไว้ที่ไหน แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามทั้งสอง ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเธอเสียก่อน(ข้อ14)

การประยุกต์ใช้ :

– ทูตสวรรค์รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม จึงปรากฏตัวขึ้น เพื่อภารกิจสำคัญ คือ เตรียมใจของมารีย์ มักดาลา ให้พร้อมสำหรับการพบกับพระเยซูที่เธอรัก

– ทูตสวรรค์ พูดด้วยคำพูด ที่พระเยซูกำลังจะพูด เป็นการเตรียมสำหรับการเสด็จมาปรากฏขององค์กษัตริย์

– ทำไม มารีย์ มักดาลา จึงสำคัญขนาดนั้น ต้องมีการเตรียมการก่อนจะพบกับเธอด้วย? ก็เพราะเธอเป็นคนเดียว ที่ยังยืนร้องไห้ที่อุโมงค์ ขณะที่คนอื่นกลับไปหมดแล้ว เธอรักพระเยซูมาก

– พระเยซูทรงรักเราทุกคนอย่างที่สุดจนตายเพื่อเรา และพระองค์ยินดีเต็มใจจะตอบรับความรักของเราที่มีต่อพระองค์ อย่างอ่อนหวานและอ่อนโยน

– วันนี้เรารักพระเยซูมากเพียงใด?

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:14) { กายใหม่ }

แนวคิด :

– เมื่อมารีย์ มักดาลา พูดกับทูตสวรรค์ทั้งสองที่นั่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพของพระเยซูโดยที่เธอไม่รู้ว่าเป็นทูตสวรรค์(ข้อ 13) ในทันใดนั้น เมื่อเธอหันกลับมาปรากฏว่ามีผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ๆเธอ

– ผู้นั้นคือ พระเยซู ผู้ที่เธอรักและเป็นผู้ที่เธอกำลังมองหา

– แต่เธอกลับจำพระเยซูไม่ได้

– นี่เป็นครั้งแรกที่พระเยซูปรากฏพระกายให้มนุษย์ได้เห็น หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และมนุษย์คนแรกในโลกคนนี้ คือ มารีย์ มักดาลา

– เหตุการณ์นี้ทำให้เราสามารถเข้าใจเรื่องสำคัญฝ่ายวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับเราอย่างยิ่งในอนาคต คือ เรื่องของกายใหม่ เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตายในอนาคต

– เพราะพระเยซูทรงเป็นผลแรกแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตาย และเราทั้งหลายที่เป็นของพระองค์จะเป็นผลต่อๆมา(1คร. 15:23) ผลแรกเป็นอย่างไร ผลที่ตามมาก็จะเป็นเช่นนั้น

– จากเหตุการณ์ในข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่า กายใหม่นั้น เป็นกายที่เหมือนกายมนุษย์ในปัจจุบัน จนมารีย์ มักดาลา แยกไม่ออกว่า พระเยซูปรากฏต่อนางด้วยกายที่ไม่ใช่กายมนุษย์ธรรมดาแล้ว

– และกายใหม่ จะมีรูปร่างและใบหน้า ไม่เหมือนกายเดิม เพราะขนาดมารีย์ มักดาลา ผู้ที่หากได้เห็นหลังของพระเยซู ก็คงจำพระองค์ได้แล้ว แต่บัดนี้พระเยซูมายืนต่อหน้าเธอ เธอกลับจำพระองค์ไม่ได้

– แต่เมื่อเป็นกายใหม่แล้ว ยังคงมีอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะของเดิม ที่ทำให้คนอื่นจำได้ แม้มารีย์ มักดาลา จะจำเสียงของพระเยซูไม่ได้(ข้อ15) แต่ในที่สุดเธอก็จำพระองค์ได้ ดังที่ปรากฏในข้อ ต่อๆมา (ข้อ16)

การประยุกต์ใช้ :

– มารีย์ มักดาลา พยายามแสวงหาพระเยซู และเธอจนปัญญาแล้วไม่รู้จะหาพระองค์ได้จากที่ไหน แต่ความจริงพระองค์อยู่ใกล้เธอมากกว่าที่เธอคิด และเธอสามารถพบกับพระเยซูได้ง่ายกว่าที่เธอคาดไว้มากนัก

– เมื่อเราแสวงหาพระเจ้าด้วยความรักอย่างจริงใจที่มีต่อพระองค์ เราจะพบพระองค์ได้ง่ายกว่าที่เราคิดเสียอีก เพราะพระองค์พร้อมและเต็มใจที่จะเปิดเผยพระองค์แก่เราด้วยวิธีต่างๆ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:15) { ตามหาใคร? }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูปรากฏแก่มาร์ย์ มักดาลา เป็นคนแรก หลังจากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงตรัสกับเธอ ด้วยถ้อยคำเหมือนที่ทูตสวรรค์เพิ่งพูดกับเธอก่อนหน้านี้ ว่า“หญิง​เอ๋ย ร้อง​ไห้​ทำไม?” (ข้อ 13) และพระองค์ถามเธอว่า “ตามหาใคร?”

– เป็นประโยคทำนองเดียวกับ ใน ฟป.4:6-7 เลย “อย่าทุกข์ไปเลย … ต้องการอะไรบอกมาได้”

– แต่มารีย์ มักดาลา จำพระเยซูไม่ได้ เข้าใจผิดคิดว่าพระองค์เป็นคนทำสวน ด้วยใจที่กำลังวุ่นวายใจอยากจะหาพระศพให้พบ เธอจึงรีบพูดกับพระเยซูว่า พระองค์เอาพระศพพระเยซูไปหรือเปล่า เอาไปไว้ที่ไหนบอกหน่อยเถอะ เธอจะได้ไปรับกลับมา

– เธอพูดคล้ายกับหญิงใน เพลงซาโลมอน 3:3 ที่ถาม พวก​ยาม​ลาด​ตระ​เวน​ ​ว่า “ท่าน​เห็น​เขา​ผู้​ที่​ดวง​ใจ​ของ​ดิฉัน​รัก​ไหม?”

การประยุกต์ใช้ :

– ในข้อนี้ เราเห็นความกระตือรือร้นอย่างยิ่งของมารีย์ มักดาลา ที่ปรารถนาจะทำอะไรเพื่อพระเยซูที่เธอรัก ขณะเดียวกันในข้อนี้กลับแสดงให้เห็นว่า พระเยซูต่างหากที่ปรารถนาจะทำอะไรบางอย่างให้แก่เธอผู้ที่พระองค์ทรงรัก คือปลอบประโลมเธอ ทำให้เธอหยุดร้องไห้ นำเธอให้พบกับความปิติยินดี ได้พบกับพระเยซูผู้เป็นขึ้นมาจากความตายเป็นคนแรกของบรรดามวลมนุษยชาติ

บ่อยครั้งที่เราอยากจะทำอะไรมากมายให้พระเยซู จนกระทั่งไม่ได้นิ่งสงบแล้วสังเกตให้เห็นว่าพระองค์ปรารถนาจะกระทำอะไรให้แก่เรา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:16) { มารีย์เอ๋ย }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูพูดกับมารีย์ มักดาลา ครั้งแรก หลังจากพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เธอยังจำพระองค์ไม่ได้(ข้อ 15) จนกระทั่งพระองค์เรียกเธอ ด้วยถ้อยคำที่เธอคุ้นเคย “มารีย์เอ๋ย”

– ขณะที่เธอคงกำลังพยายามหันไปหันมาอย่างร้อนใจ เพื่อมองหาพระศพของพระเยซู ในทันใดนั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงเรียกด้วยวลีที่แสนจะคุ้นเคยนั้น เธอจำได้ทันทีว่าเป็นพระเยซู

– เธอจึงหันมาแล้วเรียกพระเยซู ด้วยการยกย่องให้เกียรติว่า “รับโบนี”

– ในหนังสือ Albert Barnes’ Notes on the Bible ได้อธิบายไว้ว่า การเรียกอาจารย์ของคนยิวสมัยนั้น มี 3 ระดับ ได้แก่

– รับ (Rub) หมายถึง อาจารย์

– รับบี (Rabbi) หมายถึง อาจารย์ของฉัน เป็นการให้เกียรติที่สูงขึ้น

– รับโบนี (Rabboni) หมายถึง อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ของฉัน ซึ่งเป็นการให้เกียรติสูงสุด

การประยุกต์ใช้ :

– ในข้อก่อนหน้านี้(ข้อ15) สังเกตได้ว่า มารีย์ มักดาลา จำเสียงพระเยซูไม่ได้

– ในข้อนี้พระเยซูทรงเรียกเธอด้วยวลีธรรมดาๆ “มารีย์เอ๋ย” แต่กลับทำให้เธอจำพระองค์ขึ้นมาได้โดยทันที ซึ่งเรื่องนี้คนอื่นคงยากที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นอกจากมารีย์ มักดาลา กับ พระเยซูเท่านั้น

– พระเยซูทรงทราบว่า ควรพูดอะไรกับมารีย์ มักดาลา เพราะพระองค์ทรงรู้จักเธอเป็นอย่างดี และพระองค์ทรงรู้จักหัวใจของเธอ

– วันนี้ แม้คนอื่นไม่เข้าใจเรา แต่พระเยซูทรงทราบหัวใจของเรา และพระองค์รู้ว่าควรตรัสกับเราอย่างไรและควรปฏิบัติต่อเราอย่างไร เพราะพระองค์ทรงรักและเข้าใจเราเป็นอย่างดี

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:17) { ภารกิจเล็กน้อยอันยิ่งใหญ่ }

แนวคิด :

– เมื่อมารีย์ มักดาลา จำพระเยซูได้แล้ว(ข้อ 16) พระเยซูตรัสกับเธอว่า อย่าหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้เลย ซึ่งเธอคงพยายามอยากจะหน่วงเหนี่ยวพระองค์ให้อยู่กับเธอนานกว่านี้ เพราะนั่นช่างเป็นบรรยากาศที่แสนอ่อนหวาน และชื่นชมยินดีอย่างที่สุด

– แต่พระเยซูบอกเธอว่า เนื่องจากพระเยซูยังไม่ได้กลับไปหาพระบิดา พระองค์จึงยังคงมีเวลาจำกัด ไม่สามารถใช้เวลากับเธอแต่ผู้เดียวได้ ซึ่งหมายความว่าหลังจากพระเยซูกลับไปหาพระบิดาแล้ว พระองค์จะอยู่กับเธอเป็นส่วนตัวได้ตลอดเวลา ผ่านทางการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

– แทนที่พระเยซูจะให้เธอ ใช้เวลาอยู่กับพระองค์ต่อไป  อันเป็นเวลาที่แสนสุข แต่พระองค์กลับมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่เธอ เป็นคนแรกของมนุษยชาติที่เป็นพยานให้ผู้อื่นว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– พระองค์ทรงใช้เธอให้ไปบอกพวกอัครสาวก ถึงข่าวสำคัญนี้ คือพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และบอกพวกเขาว่า พระเยซูตอนนี้ยังอยู่ในโลกนี้ แต่ต่อไปพระองค์กำลังจะกลับไปหาพระเจ้า พระบิดา ของพระองค์ ซึ่งโดยทางพระเยซูนั้น พระเจ้าพระบิดาจะทรงเป็นพระเจ้า และเป็นพระบิดาของพวกเขาด้วย

การประยุกต์ใช้ :

– ช่วงเวลาที่มารีย์ มักดาลาพบกับพระเยซูสองต่อสองช่างเป็นเวลาแสนสุขสำหรับเธอ พระเยซูทรงทราบดีว่าช่วงเวลาแสนสุขนี้จะเกิดขึ้นกับเธออีกแบบตลอดไป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา แต่บัดนี้เธอมีภารกิจที่สำคัญกว่านั้น คือไปเตรียมใจอัครสาวกให้พร้อม สำหรับการปรากฏตัวของพระเยซูท่ามกลางพวกเขา(ยน. 20:19-23)

บางครั้งพระเจ้าทรงเรียกเราให้ออกจากพื้นที่ที่แสนสุขของเรา เพื่อทำภารกิจที่เล็กน้อยอันแสนสำคัญ จงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแล้วก้าวออกไปด้วยความเชื่อ แล้วผลที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:18) { แค่บอกตามที่สั่ง }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์ทรงมาพบมารีย์ มักดาลา เป็นคนแรก และบอกให้เธอไปบอกเหล่าสาวกว่า ขณะนี้พระเยซูกำลังอยู่ในโลก และอีกไม่นานกำลังเสด็จกลับไปหาพระบิดา ซึ่งบัดนี้พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของพวกเขาด้วย โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์(ข้อ17)

– เธอจึงทำตามคำสั่งของพระเยซู ไปบอกพวกสาวกว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และบอกถ้อยคำที่พระเยซูฝากไปบอกพวกสาวกนั้น

– ทำไมพระเยซูไม่ไปบอกกับพวกสาวกเอง ต้องใช้มารีย์ มักดาลา ไปบอกก่อน แล้วภายหลังจึงค่อยปรากฏตัวแก่พวกเขา?

– ก็เพราะพระองค์มีภารกิจ สำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่จะมอบแก่พวกเขา คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดทางพระเยซูคริสต์

– พระองค์ประสงค์ให้เขา พัฒนาความเชื่อของเขา ด้วยการเชื่อ ทั้งที่ยังไม่ได้เห็น

– แต่ปรากฏว่า พวกเขาสอบไม่ผ่าน ข้อสอบนี้ ใน มก. 16:11 “เมื่อ​พวก​เขา​ได้​ยิน​ว่า​พระ​องค์​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่ และ​มารีย์​ได้​เห็น​พระ​องค์​แล้ว พวก​เขา​ยัง​ไม่​เชื่อ” พวกเขาไม่เชื่อ แม้ว่าได้ยินสิ่งที่มารีย์ มักดาลา พูด ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของพระเยซูขณะที่พระองค์ยังคงอยู่กับพวกเขา (มก. 8:31)

– ส่วนมารีย์ มักดาลา เธอทำส่วนของเธออย่างดีที่สุดแล้ว เธอเล่าสิ่งที่เห็นแล้ว เธอบอกข้อความที่พระเยซูให้เธอบอกแก่พวกสาวกแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร พวกสาวกจะเชื่อ หรือยังคงไม่เชื่อต่อไป  เรียกได้ว่า เธอได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว และแผนการอันดีเลิศของพระเจ้าก็สำเร็จผ่านชีวิตของเธอแล้ว

– แม้พวกสาวกจะไม่เชื่อในเวลานั้น แต่ผลที่ตามต่อๆมาคือ เมื่อพวกเขาไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู แล้วคนไม่เชื่อ พวกเขาจะดูหมิ่นคนเหล่านั้น แต่จะเข้าใจ เห็นใจคนเหล่านั้น และจะพยายามประกาศต่อไปอย่างไม่ลดละ

การประยุกต์ใช้ :

– บางครั้งพระองค์จงใจทำให้ขั้นตอนในการดำเนินชีวิตของเรานั้นยากขึ้นบ้าง เพื่อพัฒนาความเชื่อในชีวิตของเรา เพื่อจะให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรานั้นจำเริญเติบโตขึ้น แล้วจะส่งผลในทุกพื้นที่ในชีวิตของเราจำเริญขึ้น

– เมื่อเราทำสิ่งใด ตามถ้อยคำของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าผลในเบื้องต้นจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วการกระทำนั้นจะเป็นพระพรมากมายทั้งต่อตัวเราและผู้อื่น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:19) { สันติสุขชนะความกลัว }

แนวคิด :

– หลังจากที่มารีย์ มักดาลา ได้บอกพวกสาวกว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกสาวกก็ไม่เชื่อ(ข้อ18) ยังคงเก็บตัวเงียบในห้องชั้นบน เพราะกลัวว่าพวกยิวจะมาจับไปฆ่าอย่างทรมาน เหมือนกับที่พวกยิวได้ฆ่าพระเยซูนั้น

– จนกระทั่งค่ำวันนั้น ในห้องที่พวกเขาอยู่กันนั้น ขณะที่ประตูปิดอยู่ พระเยซูปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเขา

– พระเยซูตรัสกับเขา ขณะเขากำลังกลัวนั้นว่า “สันติ​สุข​จง​ดำรง​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เถิด”

การประยุกต์ใช้ :

– ทั้งที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกสาวกก็ยังถูกครอบงำด้วยความกลัว ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– หากเราไม่มีเชื่อ แม้ว่าเราเป็นผู้ชนะแล้ว เราก็ยังคงทำตัว อย่างผู้พ่ายแพ้อยู่ดี

– พระเยซูแทนที่ความกลัวของเขา ด้วยสันติสุขในการทรงสถิตของพระเจ้า

– หากเรากำลังกลัว เพียงแค่ระลึกว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่และพระองค์ทรงสถิตกับเรา เมื่อนั้นสันติสุขของพระเจ้า จะเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวทั้งสิ้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:20) { เห็นแล้วเชื่อ }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูทรงปรากฏแก่พวกสาวกให้ห้องที่เขาอยู่ด้วยกันนั้น(ข้อ19) ดูเหมือนในตอนแรกพวกเขายังจำพระเยซูไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นพระเยซูจริงๆ

– แต่เมื่อพระเยซู ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์ที่มีรอยตะปู และสีข้างที่ถูกแทง พวกเขาก็มั่นใจทันทีว่าเป็นพระเยซูจริงๆ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วเชื่อ

– หลังจากนั้นความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งก็เกิดขึ้นกับพวกเขา

– หากสังเกตพระคัมภีร์ข้อนี้ดีๆ ความยินดีของพวกเขา ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อพระเยซูปรากฏแก่พวกเขา หรือแม้แต่เมื่อพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า จงมีสันติสุขเถิด

– แต่ความยินดีนั้นเกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาได้เห็นรอยแผลของพระเยซู แล้วจึงเชื่อ แล้วจึงเกิดความยินดี

การประยุกต์ใช้ :

– ถึงแม้พระเยซูจะอยู่กับพวกสาวก จะตรัสกับเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความชื่นชมยินดี จนกว่าพวกเขาจะเชื่อจริงๆว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เมื่อนั้นความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมจึงเกิดขึ้นกับพวกเขา

– แม้วันนี้ เราทราบและได้ยินว่า พระเยซูทรงสถิตกับเรา และแม้พระคำของพระเจ้าได้ตรัสกับเราแล้ว แต่ความชื่นชมยินดีที่แท้จริงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ท่ามกลางสถานการณ์ในวันนี้ จนกว่าเราจะเชื่อจริงๆว่า สิ่งที่พระคำของพระเจ้าได้กล่าวไว้นั้นเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:21) { แบบเดียวกับพระเยซู }

แนวคิด :

– เมื่อพวกสาวกเกิดเชื่อ หลังจากได้เห็นพระหัตถ์และสีข้างของพระเยซูแล้ว(ข้อ20) พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขา อีกครั้งว่า “สันติ​สุข​จง​ดำ​รง​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย” เหมือนที่เพิ่งตรัสก่อนหน้านี้ไม่นาน(ข้อ19)

– แล้วพระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า พระองค์จะใช้พวกเขาไป เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงใช้พระองค์มา

– คือ พระองค์ใช้พวกสาวกไป ทำอย่างที่พระองค์ทรงทำ ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกับพระองค์ นำความรอดจากสวรรค์ไปยังผู้คนทั้งหลาย และด้วยสิทธิอำนาจอย่างเดียวกับพระองค์

การประยุกต์ใช้ :

– ทำไมพระเยซูต้องพูด วลีเดิมซ้ำอีก? ก็เพราะในครั้งแรกนั้นพวกเขาได้ยินขณะยังไม่เชื่อ แต่ครั้งหลังนี้พวกเขาได้ยินเมื่อพวกเขาเชื่อแล้ว

– และเมื่อพวกเขามีความเชื่อแล้ว ก็พร้อมแล้วที่จะรับมอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่ที่พระเยซูจะทรงมอบให้พวกเขากระทำ

– องค์ประกอบสำคัญที่ต้องมีในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า คือ ใจที่มีความเชื่อ และชีวิตที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าจริงๆ พวกสาวกสัมผัสสันติสุขจริงๆ

– พระเยซู ประทานเกียรติที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เรา คือ มอบหมายให้เราทำภารกิจอย่างเดียวกันกับพระองค์ มีวัตถุประสงค์เดียวกับพระองค์ และมีสิทธิอำนาจแบบเดียวกับพระองค์

– จงภาคภูมิใจในเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ และทำภารกิจให้สำเร็จเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:22) { จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูบอกถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์จะทรงใช้ให้พวกสาวกไปทำแล้ว(ข้อ21) พระองค์ก็ระบายลมหายใจเหนือพวกเขา

– เป็นเหมือนเหตุการณ์ใน ปฐก. 2:7 พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ทรง​ปั้น​มนุษย์​ด้วย​ผง​คลี​จาก​พื้น​ดิน ระบาย​ลม​ปราณ​เข้า​ทาง​จมูก​ของ​เขา มนุษย์​จึง​กลาย​เป็น​ผู้​มี​ชีวิต​อยู่

– แล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด”

– ใน กจ. 1:4 “เมื่อ​พระ​องค์​ได้​ทรง​พำนัก​อยู่​กับ​อัครทูต จึง​กำชับ​เขา​มิ​ให้​ออกไป​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม แต่​ให้​คอย​รับ​ตาม​พระ​สัญญา​ของ​พระ​บิดา…”

– ใน กจ. 1:8 “แต่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้รับ​พระ​ราชทาน​ฤทธิ์​เดช เมื่อ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​จะ​เสด็จ​มา​เหนือ​ท่าน …”

– ดังนั้น ผมคิดว่า ในข้อนี้ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ถึงคำสัญญาของพระองค์ว่า จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะประทานจริงใน วันเพนเทคอสต์อีกไม่กี่วันข้างหน้า

– เพราะใน ยน. 16:7 พระเยซูตรัสว่า “…​ถ้า​เรา​ไม่​ไป องค์​พระ​ผู้ช่วย​ก็​จะ​ไม่​เสด็จ​มา​หา​ท่าน แต่​ถ้า​เรา​ไป​แล้ว เรา​ก็​จะ​ใช้​พระ​องค์​มา​หา​ท่าน​”

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูทรงระบายลมหายใจและตรัสว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์” ต่อจากการมอบภารกิจยิ่งใหญ่ให้แก่พวกสาวก

– ชี้ให้เห็นว่า การทำให้พระมหาบัญชาของพระเยซูสำเร็จได้นั้น สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจขาดไปได้เลย คือการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของผู้เชื่อ

วันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับเรา เพื่อช่วยให้เราทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูให้สำเร็จ ดังนั้นจงพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:23) { รับการอภัย }

แนวคิด :

– หลังจากที่พระเยซูปรากฏแก่พวกสาวก(ข้อ 19)  มอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสิทธิอำนาจแห่งการประกาศข่าวประเสริฐให้แก่พวกเขา(ข้อ 21) แล้วทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขา และตรัสว่า จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด(ข้อ 22)

– แล้วพระองค์จึงกล่าวถึง สิทธิอำนาจที่พวกเขาได้รับ เหมือนที่เคยบอกไว้ก่อนแล้วใน มธ. 18:18 “เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า สิ่ง​ใดๆ ที่​พวก​ท่าน​จะ​กล่าว​ห้าม​ใน​โลก สิ่ง​นั้นก็​จะ​ถูก​กล่าว​ห้าม​ใน​สวรรค์ และ​สิ่ง​ใดๆ ที่​พวก​ท่าน​จะ​กล่าว​อนุ​ญาต​ใน​โลก สิ่ง​นั้นก็​จะ​ได้​รับ​อนุ​ญาต​ใน​สวรรค์”

– พวกเขาซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้า มีสิทธิอำนาจจากพระเจ้าที่จะอภัยบาป และไม่อภัยบาปแก่มนุษย์ได้

– การที่จะเข้าใจความหมายในข้อนี้ จำเป็นต้องเข้าใจภาพรวมของของพระกิตติคุณทั้งหมด ว่า การให้อภัยหรือไม่ให้อภัยบาปนั้น เป็นอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าแต่ผู้เดียว แต่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า พระองค์ประทานหนทางที่จะได้รับการอภัยแก่มนุษย์ โดยทางข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคน

– บัดนี้พวกสาวกได้รับเกียรติในภารกิจนี้ คือนำการอภัยจากพระเจ้าไปยังมนุษย์ทุกคน ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา

– ดังนั้นใครก็ตามที่ได้ยินข่าวประเสริฐแล้วเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คริสตจักรสามารถประกาศยืนยันกับคนนั้นได้ว่า เขาจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า

– และใครก็ตามที่ไม่เชื่อข่าวประเสริฐที่พวกเขาประกาศ หรือไม่ได้ยินข่าวประเสริฐนั้น คริสตจักรสามารถประกาศยืนยันได้เลยว่า เขาจะไม่ได้รับการอภัย

การประยุกต์ใช้ :

– พระเจ้าปรารถนาให้อภัยแก่มนุษย์ทุกคน พระองค์กำหนดวิธีแห่งการรับการอภัยไว้แล้ว โดยวิธีที่แสนง่ายคือการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าทรงมอบหมายภารกิจนี้ให้แก่พวกเรา คือ บอกคนทั้งหลายถึงข่าวดีแห่งการให้อภัยนี้

จงไปบอกคนทั้งหลายถึงข่าวดีนี้กันเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:24) { โธมัสไม่อยู่ }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูปรากฏพระองค์ต่อหน้าพวกสาวกในครั้งแรกนั้น(ข้อ 19-23) ปรากฏว่า โธมัส ผู้เป็นคนหนึ่งในอัครสาวกนั้น ไม่ได้อยู่ด้วย

– ทำไมพระเยซูจึงปรากฏพระองค์ตอนนั้น?

– พระองค์ไม่รู้หรือว่าตอนนั้นโธมัสจะไม่อยู่?

– พระองค์ไม่แคร์โธมัสหรือ?

– พระองค์สนใจแค่สาวก 10 คนเท่านั้นหรือ?

– คำตอบคือ  พระองค์ทรงทราบดีว่าโธมัสจะไม่อยู่ และพระองค์จงใจปรากฏในเวลานั้นเพราะพระองค์ทรงรักโธมัสมาก

– ในการทดสอบครั้งแรก เมื่อมารีย์ มักดาลา มาบอก พวกสาวกว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ปรากฏว่าทุกคนสอบตกหมด ไม่มีใครยอมเชื่อเธอ

– ครั้งนี้ โธมัส ได้รับเกียรติเป็นอัครสาวกคนเดียวที่มีสิทธิสอบแก้ตัวอีกครั้ง ที่เขาจะเชื่อโดยไม่ต้องเห็นพระองค์ก่อน

การประยุกต์ใช้ :

– เมื่อบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา ถ้าดูเผินๆ อาจเข้าใจผิดว่า พระเจ้าไม่รักเราแล้วหรือ? พระเจ้าไม่แคร์เราหรือ?

แต่ความจริงแล้ว ทุกอย่างที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรา เพราะพระองค์ทรงรักเราอย่างที่สุด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:25) { ไม่ยอมเชื่อ }

แนวคิด :

– พระเยซูปรากฏตัวแก่พวกสาวกขณะที่โธมัสไม่อยู่(ข้อ 24) เมื่อโธมัสกลับมาเพื่อนๆสาวกจึงรุมบอกกับเขาว่า “เรา​เห็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​แล้ว” ซึ่งวลีทำนองเดียวกันนี้ พวากสาวกเคยได้ยินแล้ว จาก มารีย์ มักดาลา แต่ตอนนั้นพวกสาวกไม่มีใครยอมเชื่อ

– ยน. 20:18 มา​รีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา​จึง​ไป​บอก​พวก​สา​วก​ว่า “ข้าพ​เจ้า​เห็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​แล้ว”

– ในคราวนี้ เมื่อโธมัสได้ยินประโยคเหมือนเดิม เขาก็ยังคงไม่เชื่อเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าคราวนี้จะมีหลายคนยืนยันอย่างหนักแน่นแก่เขาก็ตาม

– โธมัสยืนกรานหนักแน่นว่า ถ้าเขาไม่เห็นกับตา ไม่ได้สัมผัสด้วยมือของตนเอง เขาจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด

– เขาไม่ยอมเชื่ออะไร? ไม่ใช่ว่า เขาไม่ยอมเชื่อคำพูดของเพื่อนๆเท่านั้นเขากำลังบอกว่า เขาไม่ยอมเชื่อในคำตรัสของพระเยซูด้วย ที่ตรัสไว้ก่อนหน้านี้ว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์แล้วในวันที่สามจะเป็นขึ้นมาจากความตาย

– พระเยซูทรงรู้จักโธมัสเป็นอย่างดี พระองค์ทรงรู้จุดอ่อนของโธมัส คือ ความสงสัย  พระองค์จึงใช้โอกาสพิเศษนี้ สอนเขาและแก้ไขจุดอ่อนของเขา

การประยุกต์ใช้ :

– สำหรับโธมัส การที่มีคนมีบอกเท่านั้นไม่เพียงพอ เขาต้องการเห็นกับตาและจับต้องด้วยมือเสียก่อน จึงจะยอมเชื่อในคำตรัสของพระเยซู

– ซึ่งดูเหมือนพระเยซู ไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น (ข้อ 29)

วันนี้ เรายอมเชื่อพระคำของพระเจ้าว่าเป็นจริงทุกประการแล้วหรือยัง? หรือจำเป็นต้องรอให้เห็นกับตาก่อนเท่านั้น

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:26) { 8 วันต่อมา }

แนวคิด :

– ผ่านไป 8 วัน หลังจากวันที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกในคืนนั้น(ข้อ 19-23)

– พวกสาวกอยู่ด้วยกันในห้อง และปิดประตูมิดชิด เพราะความกลัวพวกยิวยังคงอยู่ แม้พวกเขาจะรู้ชัดเจนแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– แล้วพระเยซูก็ปรากฏตัวท่ามกลางพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ตรงที่ ครั้งนี้โธมัสก็อยู่ท่ามกลางพวกสาวกด้วย

– ครั้งนี้ พระเยซูยังคงตรัสกับเขาเหมือน เมื่อ 8 วันก่อน ว่า “สันติ​สุข​จง​ดำ​รง​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย” เพราะความกลัวยังคงครอบงำพวกเขาอยู่

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูทรงรอถึง 8 วัน เพื่อปรากฏพระองค์เองอีกครั้งท่ามกลางพวกสาวก เพราะพระองค์มีเวลาของพระองค์ เป็นช่วงเวลาให้เหล่าสาวกพัฒนาความเชื่อ ให้มีชัยเหนือความกลัวพวกยิว แต่ดูเหมือนพวกเขายังไม่อาจสอบผ่าน และ เป็นช่วงเวลาที่จะให้โธมัสพัฒนาความเชื่อ จนยอมเชื่อคำของเพื่อนๆ ที่ว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต๋ก็ดูเหมือนว่าโธมัสก็ยังสอบไม่ผ่านอยู่ดี

พระเจ้าทรงรู้เวลาที่เหมาะสม และพระองค์มีแผนการอันลึกซึ้งที่ดีเลิศที่เราไม่อาจเข้าใจได้ จงเชื่อใจในการกำหนดเวลาของพระเจ้าเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:27) { อย่าสงสัยเลย }

แนวคิด :

– พระเยซูได้ปรากฏพระองค์แก่เหล่าสาวกซึ่งครั้งนี้โธมัสก็อยู่ด้วย พระเยซูจึงตรัสกับโธมัสเป็นพิเศษว่า ให้เขาเอามือมาสัมผัสฝ่ามือและสีข้างของพระองค์

– ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น ไม่ได้เป็นการประชดโธมัส ซึ่งก่อนหน้านี้เขาพูดกับเพื่อนๆว่า ถ้าไม่ได้เอามือของเขาสัมผัสฝ่ามือและสีข้างของพระองค์ เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยว่า พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ

– แต่ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้โธมัสอยู่ในความสงสัยต่อไป พระองค์ปรารถนาเหลือเกินที่จะให้เขาเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูทรงพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะให้โธมัสผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้น หลุดพ้นจากความสงสัย ก้าวเข้ามายืนบนจุดยืนแห่งความเชื่อ

– วันนี้ พระเยซูก็กระทำกับเราเช่นนั้นเหมือนกัน พระองค์ปรารถนาให้เราก้าวออกจากความสงสัย เข้ามายืนอยู่ในความเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

แต่สำหรับเราดูเหมือนพระองค์เลือกวิธีการที่ดียิ่งกว่ากระทำแก่โธมัส พระองค์ไม่ได้ปรากฏให้เราเห็น แต่ให้เรามีสิทธิใช้ความเชื่อว่า พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ ทั้งที่เรามองไม่เห็น พระองค์ทรงใช้วิธีการตอบคำอธิษฐานของเราเพื่อทำให้เราเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:28) { เจ้านายของข้าพระองค์ }

แนวคิด :

– เมื่อพระเยซูแสดงให้โธมัสดูฝ่ามือและสีข้างของพระองค์แล้ว แม้โธมัสยังไม่ได้เอามือสัมผัสพระเยซู แต่บัดนี้เขาก็ได้เชื่ออย่างไม่สงสัยว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว

– เขาจึงกล่าวคำพูดที่สอดคล้องกับความเชื่อของเขา ว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์ พระ​เจ้า​ของ​ข้า​พระ​องค์”

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

– เราเชื่อเช่นนั้นจริงๆหรือไม่?

– เราเชื่อและยอมรับให้พระองค์ทรงเป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้าในชีวิตของเราแล้วหรือยัง?

คนที่เชื่ออย่างสุดใจ เขาจะไม่สามารถเป็นเจ้านายของตนเองได้อีกต่อไป แต่พระเยซูจะเป็นจอมเจ้านายในชีวิตของเขา

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:29) { ไม่เห็นแต่เชื่อ }

แนวคิด :

– หลังจากที่โธมัส ได้เห็นพระเยซูกับตาของเขาเองแล้ว เขาจึงเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆและยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

– พระเยซูจึงตรัสสอนโธมัสว่า การเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระชนม์เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แต่การเชื่อโดยไม่จำเป็นต้องเห็นกับตาก่อนนั้น จะนำพระพรยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิต

การประยุกต์ใช้ :

– พระเยซูทรงปรารถนาให้เราเชื่อวางใจในพระองค์ และพระองค์รักเรามาก  ทรงปรารถนาให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในการเชื่อวางใจในพระองค์ คือ เชื่อวางใจในพระองค์ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นพระองค์กับตามาก่อนเลย

– เมื่อวันเวลามาถึง มนุษย์ทุกคนจะได้เห็นพระเยซูกับตาอย่างแน่นอน แต่พอถึงวันนั้น คนที่ยังไม่เชื่อจะเปลี่ยนใจมาเชื่อก็สายเกินไปเสียแล้ว

วันนี้พระองค์ให้โอกาสแก่คนทั้งหลายที่จะเชื่อวางใจในพระองค์ โดยที่ยังไม่เห็นพระองค์กับตามาก่อนเลย

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:30) { แค่นี้ก็เพียงพอ }

แนวคิด :

  • ยอห์นผู้บันทึกพระธรรมยอห์น อธิบายไว้ว่า มีการอัศจรรย์อีกหลายอย่าง รวมทั้งคำตรัสของพระองค์ต่างๆ ที่พระเยซูได้ทรงกระทำและตรัส ต่อหน้าต่อตาพวกสาวก หลังจากที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  • แต่เขาเลือกบันทึกไว้เพียงแค่บางส่วน เพราะว่า เพียงแค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้อ่านเชื่อ (ข้อ 31)ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์ทรงพระชนม์อยู่

การประยุกต์ใช้ :

  • การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำมีมากมาย แต่เท่าที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ความเชื่อของเราแข็งแกร่ง มั่นคงในพระเจ้า ตลอดวันคืนชีวิตของเรา
  • ไม่มีความจำเป็นต้องหา ข้อพิสูจน์ใดๆอีก นอกจากพระคำของพระเจ้า เพื่อให้เราเชื่อวางใจในพระองค์
  • วันนี้ พระคัมภีร์ที่เรามี เพียงพอแล้วที่จะพัฒนาความเชื่อของเราและความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระเจ้า จงเอาใจใส่ในพระวจนะของพระเจ้าเถิด

แบ่งปันเฝ้าเดี่ยว ( ยน.20:31) { เพื่อให้เรามีชีวิต }

แนวคิด :

– ท่านยอห์น ผู้เขียนพระธรรมยอห์นอธิบายว่า สิ่งที่เขียนในพระธรรมยอห์นนี้ ก็เพื่อให้ผู้อ่าน ได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อว่า ใครที่เชื่อเช่นนั้นจะได้รับการช่วยให้รอดพ้นนรก เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ เมื่อเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู

– เนื้อหาของพระคัมภีร์ทั้งหมด เขียนไว้เพื่อสำแดงว่า พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งใครก็ตามที่เชื่อและยอมรับในสิ่งนี้ เขาจะทำสิ่งหนึ่งคือ ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู พระเยซูจะทรงช่วยเขาให้รอดพ้นความตายไปสู่ชีวิต

การประยุกต์ใช้ :

– วันนี้ เราเชื่อและยอมรับอย่างจริงใจ หรือยังว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่สามารถช่วยเราพ้นจากผลของบาปและอิทธิพลของบาปได้?

วันนี้ เราได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระเยซูแล้วหรือยัง? ให้พระองค์ทรงอภัยบาปผิดทั้งสิ้นของเรา และช่วยให้เรามีชีวิตใหม่ในพระองค์