ภาพรวม
- มนุษย์เลือกที่จะเชื่อว่า พระเจ้าพูดโกหก มารพูดจริง เลือกเชื่อว่า พระเจ้าเห็นแก่ตัว พระองค์ขี้อิจฉา และด้วยความโลภของพวกเขา พวกเขาจึงเลือกไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
ปฐมกาล บทที่ 3 มารใช้งูมาถามเอวา ด้วยคำถามใส่ร้ายพระเจ้าว่า
“จริงหรือ? ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’ ”
เอวาจึงตอบงูว่า
“กินได้ ยกเว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น .. ”
งูจึงพูดใส่ร้ายพระเจ้า ต่อหญิงนั้นว่า
“พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ (หาว่าพระเจ้าโกหก)
เพราะพระเจ้า…ไม่อยากให้จะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า (หาว่าพระเจ้าอิจฉา)…”
เอวาเชื่องู จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้อาดัมที่อยู่กับเธอกินด้วย เขาก็กิน
ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงรู้ว่าพวกเขาเปลือยกายอยู่
เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน
พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า
พระเจ้าทรงตรัสเรียกอาดัม
“เจ้าอยู่ที่ไหน?”
อาดัมทูลว่า
“ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียง…ก็กลัว เพราะเปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย”
พระองค์จึงตรัสว่า
“…เจ้ากินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินนั้นแล้วหรือ?”
ชายนั้นทูลว่า
“หญิงที่พระองค์ประทานให้ เธอส่งผลนั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน”
พระเจ้าตรัสถามหญิงนั้นว่า “นี่เจ้าทำอะไรลงไป?” หญิงนั้นทูลว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน”
พระเจ้าจึงตรัสกับงูว่า
“เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินตลอดชีวิต
เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย
เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ
พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า
“เมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด …”
พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า
“…แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต
พืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดิน และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง
เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน …”
พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและเอวาสวมปกปิดกาย
แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ดูสิ มนุษย์กลายเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้ความดีและความชั่ว
บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วย แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์”
พระเจ้าจึงทรงไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้เพาะปลูกบนดินซึ่งใช้สร้างเขาขึ้นมา
ทรงตั้งเหล่าเครูบ และตั้งดาบเพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้ไว้เฝ้าทางที่จะไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น
– มารใส่ร้ายพระเจ้าว่า พระองค์โกหก พระองค์เห็นแก่ตัว พระองค์ขี้อิจฉา แล้ว มนุษย์ก็เลือกเชื่อว่า มารพูดจริง พระเจ้าพูดโกหก แล้วเพราะความโลภอยากเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาจึงกินผลไม้นั้น
– หากเอวา ปฏิเสธไม่คุยกับมาร ผู้ใส่ร้ายพระเจ้า ตั้งแต่ประโยคแรก มนุษย์คงไม่ล้มลงในบาป เราควรเรียนรู้ที่จะปฏิเสธบาปให้เร็วที่สุด ในทันที
– เมื่อเอวากินผลไม้แล้ว “จึงส่งให้อาดัมที่อยู่กับเธอกินด้วย” แสดงว่า อาดัมอยู่กับเอวาตอนกินผลไม้ด้วย แต่ไม่ห้าม เป็นไปได้ว่าตนเองก็อยากลองเหมือนกัน แค่เอวาตัดสินใจเร็วกว่า
– หลังจากมนุษย์ล้มลงในบาป พอพวกเขาได้ยินเสียงพระเจ้า แทนที่จะดีใจ แต่หวาดกลัวแทน มนุษย์ผู้มีบาปเมื่อต้องเข้าใกล้พระเจ้าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาจึงซ่อนตัวเสีย
ซึ่งอาการเช่นนี้ เกิดขึ้นในลูกหลานของอาดัมทุกคน สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากทำคือ เข้าใกล้พระเจ้า
สะท้อนออกมาเป็น สิ่งที่มนุษย์ไม่อยากทำที่สุด คือ อธิษฐาน
บัดนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ เราจึงพ้นบาปแล้ว จึงสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้โดยปราศจากความกลัว
อย่างไรก็ดี เรายังอยู่ในเนื้อหนัง เนื้อหนังในเราซึ่งเกลียดการเข้าเฝ้าพระเจ้า จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางเรา ไม่ให้เราเข้าเฝ้าพระเจ้า
– เมื่ออาดัมล้มลงในบาป แทนที่จะสารภาพ กลับไปโทษพระเจ้า ว่าเพราะพระองค์นี่แหละ ประทานหญิงนี้มาให้ ก็เลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
– ส่วนเอวา เมื่อล้มลงในบาป แทนที่จะสารภาพ แค่กลับไปโทษงู
– นี่เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับความรอด คือ พงศ์พันธุ์ของหญิง(พระเยซู) จะทำให้หัวงูแหลก และ พงศ์พันธุ์ของมาร (ยน. 8:44 พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร …) จะทำให้ส้นเท้าของพระเยซู ฟกซ้ำ(มีรอยตะปู)
– พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้พวกเขา ทั้งที่พวกเขาทำตัวเองให้อายเอง แค่ถึงกระนั้นพระเจ้าเองเป็นผู้ปกปิดความอายให้แก่พวกเขา
– เหตุที่พระเจ้า ไล่มนุษย์ออกจากสวนเอเดน เพราะพระองค์ทรงรักเขา
ในสวนมีต้นไม้แห่งชีวิต ถ้ากินแล้วจะไม่ตาย ถ้ามนุษย์ไม่ตาย ก็ไม่สามารถพ้นบาปได้ พวกเขาจะแยกขาดจากพระเจ้านิรันดร์กาล ไม่มีทางกลับคืนดีกับพระองค์ได้เลย แต่จะรับโทษในนรกชั่วนิรันดร์
เมื่อมนุษย์ตายได้ พระเยซูจึงสามารถมาเป็นตัวแทนตายแทนพวกเขาได้ พวกเขาจึงสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้โดยทางพระเยซูคริสต์
คำคม
“ แม้มนุษย์ล้มลงในบาป แต่ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขาก็ไม่เคยล้มเลิกไป ”