ภาพรวม
- พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปเข้าเฝ้าบนภูเขาอีกครั้ง แล้วให้เขาจารึกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับคนอิสราเอลไว้ในศิลา 2 แผ่น
สำหรับคนที่ไม่สะดวกอ่านด้วยตัวเอง ให้ AI อ่านได้ที่นี่ครับ
https://audius.co/drker/exodus34-74362
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
อพยพ บทที่ 34 เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสนำคนอิสราเอลไปยังคานาอัน
โดยจะส่งทูตสวรรค์ไปช่วย แต่พระองค์จะไม่ไปด้วย
โมเสสจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าในเต็นท์นัดพบ และอ้อนวอนขอพระเจ้าให้ไปด้วย
พระเจ้าตรัสเรียกโมเสสให้ขึ้นภูเขาซีนายอีกครั้งเพื่อรับศิลาชุดใหม่ แทนชุดที่โมเสสทำแตกไปนั้น
โดยพระเจ้าให้โมเสส เตรียมศิลาสองแผ่นขึ้นไปด้วย
โมเสสจึงตื่นแต่เช้า ขึ้นไปบนภูเขาซีนาย
พระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆ
แล้วพระเจ้าทรงเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส แล้วตรัสว่า
พระยาห์เวห์ ทรงเป็น
– พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ
– พระเจ้าผู้ทรงกริ้วช้า
– พระเจ้าผู้ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
– พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน
– พระเจ้าผู้ทรงประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป
– แต่ก็ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน
โมเสสจึงรีบกราบลงถึงดินนมัสการพระเจ้า แล้วทูลว่า
– ขอพระเจ้าทรงเสด็จไปกับเขาและคนอิสราเอล
– ขอพระเจ้าประทานอภัยการล่วงละเมิดและบาป ของเขาและคนอิสราเอล
– ขอพระเจ้าทรงรับเขาและคนอิสราเอลเป็นมรดกของพระองค์ด้วยเถิด
พระเจ้าจึงตรัสพันธสัญญา ว่า
– พระองค์จะทำการอัศจรรย์อย่างน่าเกรงขาม ต่อหน้าคนอิสราเอล อย่างที่ไม่เคยมีใครทำในทั่วพิภพ
– พระองค์จะขับไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอล
ดังนั้น คนอิสราเอลต้องรักษาพันธสัญญานี้ โดยทำดังนี้
– ให้รักษาคำบัญชาที่พระเจ้าได้สั่งเอาไว้
– ต้องไม่ทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินคานาอันเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นกับดัก จับคนอิสราเอล
– ให้ทำลายแท่นบูชาและทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด
– ห้ามนมัสการพระอื่น เพราะพระเจ้า เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน
– ห้ามหล่อรูปพระไว้สำหรับตัวเอง
– ให้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ , เทศกาลสัปดาห์ด้วยพืชผลแรก และถือเทศกาลเก็บผลิตผลในปลายปี ทุกปี
– ให้ผู้ชายทุกคนเข้าเฝ้า ปีละ 3 ครั้งซึ่งถ้าทำเช่นนั้นแล้วจะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของพวกเขาเลย
– ให้ถวายทุกสิ่งซึ่งออกจากครรภ์ครั้งแรกแด่พระเจ้า รวมทั้งพืชผลแรกที่ดีที่สุดจากผืนดิน
– ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามือเปล่า
– ให้ทำงาน 6 วัน แต่วันที่ 7 จงหยุดพัก แม้แต่ในฤดูไถนาและฤดูเกี่ยวข้าวก็จงหยุดพัก
– อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย (ผมเคยอธิบายแล้วใน บทที่ 23 ครับ)
พระเจ้าสั่งให้โมเสส เขียนคำพันธสัญญาเหล่านี้ไว้
โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า 40 วัน 40 คืน ไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย
เขาจารึกถ้อยคำแห่งพันธสัญญาไว้บนแผ่นศิลา คือ พระบัญญัติสิบประการ
โมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย พร้อมกับแผ่นพระโอวาท 2 แผ่น
ผิวหน้าของโมเสสทอแสง เพราะเขาได้สนทนากับพระเจ้า
เมื่ออาโรนและคนอิสราเอล เห็นว่าผิวหน้าของโมเสสทอแสง
พวกเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน
โมเสสจึงเรียกพวกเขามา แล้วก็กล่าวบัญญัติทุกข้อแก่พวกเขา
เมื่อโมเสสพูดจบแล้ว ก็ใช้ผ้าคลุมหน้าไว้
เมื่อโมเสสจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้า เขาก็จะปลดผ้านั้นออก
จนกว่าจะกลับออกมา
เมื่อออกมาก็จะบอกสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้คนอิสราเอลฟัง
1. โมเสสทำศิลาที่พระเจ้าประทานให้ แตก เพราะความโกรธคนอิสราเอลที่ละทิ้งพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ตำหนิหรือโกรธโมเสสที่ทำศิลานั้นแตก
แต่ขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ให้โมเสสมีส่วนรับผิดชอบในความผิดพลาดของเขา ด้วยการจารึกขึ้นมาใหม่ ด้วยมือของเขาเอง โดยการกำกับของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยเมตตา และยุติธรรม
วิธีปฎิบัติของพระองค์ต่อเราเมื่อเราผิดพลาดไปนั้น
ช่างอ่อนโยน และเต็มไปด้วยพระสติปัญญา
เมื่อเราผิดพลาดพลั้งไป อย่ากลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์
พระองค์จะทรงช่วยเราให้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
2. พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระคุณ และความรักมั่นคง ทรงประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีการทำผิดต้องมีการลงโทษอย่างแน่นอน (ข้อ 7)
ใน รม. 8:1 กล่าวว่า “เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”
เมื่อเราทำผิดบาป จำเป็นต้องมีการลงโทษ
และพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมก็ทรงลงโทษอย่างสาสม
แต่พระเยซูคริสต์ทรงมารับโทษบาปเหล่านั้นทั้งหมดแทนเรา
ขอบคุณพระเยซู
นี่แหละคือ ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา พระคุณ และความรักมั่นคง ทรงอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป แต่ก็ทรงยุติธรรมในการลงโทษ
3. จากประวัติศาสตร์เราเห็นได้ว่า พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับคนอิสราเอลนั้น
พระเจ้าทำตามทั้งหมด
ขณะเดียวกัน อิสราเอล ละเมิดหมดทุกข้อ
ถึงกระนั้น พระเจ้ายังทรงพระเมตตา ประทานพระเยซูคริสต์มาบังเกิดในชนชาติของพวกเขา
เพื่อช่วยพวกเขาและบรรดาประชาชาติให้รอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า
นี่คือ พระคุณพระเมตตา อันไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า
4. พระเจ้าห้ามไม่ให้คนอิสราเอลทำพันธสัญญากับคนแผ่นดินคานาอัน เพราะจะติดกับดัก
แต่พวกเขาไม่เชื่อฟัง เริ่มจากไปร่วมงานพิธีของพระของคนเหล่านั้น แล้วก็เริ่มกินอาหารไหว้รูปเคารพของคนเหล่านั้น จากนั้นเริ่มสัมพันธ์ยกลูกชายลูกสาวให้แต่งงานกับคนเหล่านั้น และในที่สุดคนอิสราเอลก็ละทิ้งพระเจ้า แล้วหันไปทำสิ่งชั่วร้ายอย่างคนเหล่านั้น เช่นเอาลูกเล็กเด็กแดงของตน ไปเผาบูชายันต์แด่รูปเคารพเหล่านั้น
บาป มันไม่ขอเยอะ มันขอแค่เราเข้าไปเกี่ยวข้องนิดเดียวก็พอ
เพราะอีกไม่นานเราก็จะติดกับ และถูกดึงถลำลึกเข้าไปทั้งตัว
เมื่อรู้ตัว จงรีบกลับใจ ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้สามารถหลุดพ้นจากกับดักของบาปเหล่านั้น
รีบหนีออกมาก่อนที่มันจะทำลายเราไปมากกว่านี้
5. พระเจ้าสั่งว่า ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามือเปล่า ไม่ใช่เพราะพระเจ้าอยากได้ของถวาย
เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง คงไม่ปรารถนาของถวายเล็กๆน้อยๆของพวกเขาหรอก
แต่ที่พระเจ้าสั่งเช่นนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า
พระเจ้าปรารถนาให้ประชากรของพระองค์ สำนึกพระคุณของพระองค์อยู่เสมอ
เพราะยิ่งทำเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้พระพรหลั่งไหลมาสู่ประชากรที่พระองค์ทรงรักเหล่านี้
วันนี้ อย่าให้เราขี้เหนียวต่อพระเจ้า
ให้เราเต็มใจถวายแด่พระองค์
เพราะการทำเช่นนั้น เป็นการเปิดประตูพระพรสำหรับเราและครอบครัวของเรานั่นเอง
6. โมเสสยิ่งเข้าเฝ้าพระเจ้า ใบหน้ายิ่งทอแสง
เราก็เช่นกัน ยิ่งเข้าใกล้ชิดสนิทพระเจ้า ก็ยิ่งเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า
วันนี้ เราใช้เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้ามากน้อยเพียงใด?
7. ในบทนี้มีเรื่องที่น่าสนใจมาก ในบทที่ 33 บอกว่า โมเสสสนทนากับพระเจ้าสองต่อสอง อย่างมิตรสหาย
แสดงว่า คุยกันประจำอยู่แล้ว ตามปกติ
แต่ครั้งนี้ พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้แยกตัวออกเป็นพิเศษ เพื่อเข้าเฝ้าพระองค์บนภูเขา
แสดงว่า การเข้าเฝ้าปกติเป็นประจำของเราเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญมาก
แต่ก็เป็นการดีที่ เราจะปลีกตัวเป็นพิเศษ โมเสสอดอาหาร 40 วันด้วยซ้ำไป
เพื่อใช้เวลากับพระเจ้าเป็นพิเศษ
และรับประสบการณ์ใหม่สดจากพระองค์เป็นระยะ
คำคม
“ ยิ่งใกล้ชิดพระเจ้า ยิ่งมีสง่าราศีของพระองค์ ”