ภาพรวม
- ปัญญาจารย์ บทที่ 4 ชี้ให้เห็นถึงความว่างเปล่า ความไร้ค่า ของการตรากตรำทำงานเพื่อสิ่งไร้ค่าในโลกนี้
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
ปัญญาจารย์ บทที่ 4
เมื่อปัญญาจารย์พิจารณาเรื่อง การข่มเหง พบว่า
ทั้งผู้ถูกข่มเหง และผู้ข่มเหง ก็ล้วนไม่มีใครปลอบใจเขาได้
คนตายที่ตายไปแล้ว ดีกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่
คนที่ยังไม่เคยเกิดมาเลย ก็ดียิ่งกว่า
สิ่งเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า ไร้ค่า
– คนตรากตรำทำงานสิ่งต่างๆ เพราะความริษยา ที่มีต่อเพื่อนบ้าน
– คนตรากตรำทำงานได้สิ่งของมากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขกว่าคนอื่นเลย
– คนตรากตรำทำงานไม่หยุด แต่ก็ไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง แล้วในที่สุดก็ต้องละทิ้งของเหล่านั้นให้คนอื่น
สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะยามมีปัญหาจะได้ช่วยกันได้
และย่อมต่อสู้ปัญหาได้ดีกว่า
คนหนุ่มยากจน ที่มีสติปัญญา ก็ดีกว่ากษัตริย์ชรา ที่โฉดเขลา ผู้ไม่รับคำแนะนำอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้น คนที่มาภายหลังพวกเขาก็ไม่ได้จดจำพวกเขาทั้งสองอยู่ดี
1. เนื่องจากในสมัยของซาโลมอน พระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เสด็จมา
ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขา จึงพบว่า
สำหรับมนุษย์แล้วไม่เกิดมาก็ดีกว่า เพราะเกิดมาก็จะพบแต่ความทุกข์ยาก
แล้วก็จากไปแบบเอาอะไรไปไม่ได้เลย
แต่ในปัจจุบันความจริงยังคงเหมือนเดิม
หากตรากทำสิ่งต่างๆเพื่อตนเองหรือใครบนโลกนี้
ในที่สุดสักวันหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
แต่เราผู้มีความหวังในพระเยซูคริสต์ หากทำสิ่งต่างๆเพื่อพระคริสต์
สิ่งที่ทำไปจะไม่ไร้ค่า เมื่อเราไปอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์
และเป็นการดีเหลือเกินที่พระเจ้าให้เราได้เกิดมา แล้วได้รู้จักกับพระองค์
มิฉะนั้นเราคงไม่มีโอกาสได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์
2. แม้มีสิ่งของน้อยกว่าคนอื่น แต่มีความสงบ มากกว่าคนอื่น นั่นก็นับว่าดีกว่าคนอื่นมากมายนัก
วันนี้ เราผู้อยู่ในพระคริสต์ สามารถมีสันติสุขในพระเจ้าได้ ทุกที่ทุกเวลา
ดังนั้นไม่ว่าใครจะมีอะไรมากกว่าเราก็ตาม ไม่มีทางมีความสุขกว่าเราได้เลย
ขอบคุณพระเจ้า
3. สองคนดีกว่าคนเดียว และในความสัมพันธ์นั้นหากมีพระคริสต์เป็นเชือกเกลียวที่สาม
ผูกพันทั้งสองฝ่ายเข้าไว้ด้วยกัน โดยความรักที่พวกเขามีต่อพระคริสต์
ก็จะทำให้ความสัมพันธ์นั้น มั่นคงแข็งแรง ยืนยาวนาน ตลอดไป
คำคม
“ จงให้พระเจ้าเป็นเชือกเกลียวที่สาม ในทุกความสัมพันธ์ ”