ภาพรวม
- เอเสเคียล บทที่ 24 พระเจ้าให้เอเสเคียลบอกถึงการลงโทษอิสราเอล โดยใช้คำอุปมาเรื่องหม้อต้มเนื้อ และโดยใช้เรื่องการตายของภรรยาเอเสเคียล
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
เอเสเคียล บทที่ 24
ในวันที่ 10 เดือนที่ 10 ปีที่ 9 ที่กษัตริย์เยโฮยาคีนตกเป็นเชลย (อ้างอิงจาก อสค. 1:2 )
ขณะเดียวกัน เป็น ปีที่ 9 แห่งรัชกาลของเศเดคียาห์ ผู้ที่เนบูคัสเนสซาร์ ตั้งให้เป็นกษัตริย์ในยูดาห์ แทนกษัตริย์เยโฮยาคีน (2พกษ. 25:1)
พระเจ้าสั่งให้เอเสเคียล เขียนชื่อของวันนี้ เอาไว้
ซึ่งเป็นวันที่กษัตริย์แห่งบาบิโลนเข้าล้อมกรุงเยรูซาเล็ม
และให้เอเสเคียลกล่าวอุปมา แก่คนอิสราเอล ว่า
มีหม้อใบหนึ่ง มีน้ำในหม้อ และมีชิ้นเนื้อแกะอย่างดี และกระดูกอย่างดี ใส่อยู่เต็ม
น้ำถูกต้มให้เดือด ด้วยฟืนที่อยู่ใต้หม้อ
กระดูกในหม้อนั้นก็ถูกเคี่ยว
หม้อนั้น คือ กรุงเยรูซาเล็ม ที่ชุ่มด้วยโลหิต
เป็นหม้อที่ขึ้นสนิมข้างใน
เนื้อในหม้อถูกนำออกมาทีละชิ้น แบบไม่ต้องเลือก
เพราะชาวเยรูซาเล็มได้ฆ่าคน
แล้วพวกเขาเทโลหิตไว้บนหินเรียบ
ไม่ได้เทลงบนพื้นดิน เพื่อให้ฝุ่นกลบไว้
(คือ ไม่สำนึกผิด หรือ ละอายเลย แต่แสดงอย่างเปิดเผย)
จึงยิ่งเร้าความโกรธและการแก้แค้น ของพระเจ้าให้ลงมา
พระเจ้าจะทำให้กองฟืนนั้นใหญ่ขึ้น ทำให้ไฟแรงขึ้น
จนเนื้อสุก และใส่เครื่องปรุง ให้น่ารับประทาน
หม้อที่เป็นสนิมนี้ แม้จะวางไว้บนถ่าน เพื่อให้มันร้อนจนทองแดงไหม้
สนิมที่หนาของมันก็ไม่หลุดออก
เพราะว่าพระเจ้าชำระพวกเขา
แต่พวกเขาก็กลับไปทำสิ่งมลทินอีก
ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกชำระอีกต่อไป
จนกว่าพระเจ้าจะระบายความโกรธออกเหนือพวกเขาจนหมด
เวลาได้มาถึงแล้ว และจะไม่มีการยับยั้ง จะไม่ปรานี
พระเจ้าจะพิพากษาพวกเขาตามการกระทำของพวกเขา
แล้วพระเจ้าตรัสกับเอเสเคียล ว่า
พระเจ้าจะเอาภรรยาที่เขารัก ไปจากเขาอย่างฉับพลัน
แต่อย่าคร่ำครวญหรือร้องไห้
ถอนหายใจได้ แต่ห้ามมีเสียง
อย่าไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย
และไม่แสดงสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์
เช่น ปล่อยผม เดินเท้าเปล่า ปิดหนวด กินอาหารของคนไว้ทุกข์
และเอเสเคียลจึงพูดกับประชาชนตอนเช้า
แล้วภรรยาของเขาก็สิ้นชีวิตตอนเย็น
พอเช้าขึ้นเขาก็ทำอย่างที่พระเจ้าสั่งไว้
ประชาชนจึงมาถาม ว่า
สิ่งที่ทำนี้มีความหมายอะไรต่อพวกเขา
แล้วเอเสเคียล จึงตอบ ว่า
พระเจ้าจะทำให้สถานนมัสการของพระองค์
ซึ่งพวกเขา ภูมิใจ และรักนั้น ให้เสื่อมเกียรติไป
ลูกหลานของพวกเขาที่เยรูซาเล็มจะล้มลงด้วยดาบ
และพวกเขาจะทำอย่างที่เอเสเคียลได้ทำ คือ ไม่ไว้ทุกข์หรือร้องไห้
แต่จะทรุดลงเพราะความผิดของตน
พระเจ้าตรัสกับเอเสเคียล ว่า
ในวันที่เยรูซาเล็มถูกทำลาย ผู้ลี้ภัยจะมาบอกเรื่องราวให้เขาได้ยิน
แล้วเอเสเคียลจะไม่เป็นใบ้อีกต่อไป
1. จากคำอุปมานี้ เยรูซาเล็มเป็นเหมือนหม้อ และคนอิสราเอลเป็นเหมือนเนื้อแกะในหม้อ
หม้อและเนื้อจะถูกต้มให้ร้อน แล้วเนื้อจะถูกนำออกไป จนหมด
พระเจ้าจะทำลายคนอิสราเอล ให้หมดไปจากเยรูซาเล็ม
ไม่ว่าหม้อนั้นจะร้อนสักเพียงใด สนิมก็ไม่หลุดออกเสียที
ไม่ว่าพระเจ้าจะลงโทษพวกเขาอย่างไร
เมืองของพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอยู่ดี
เมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับเรา
พระองค์กำลังจะเรียกร้องให้เรา กลับใจจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หันมาทำสิ่งที่ถูกต้อง
2. ชาวเยรูซาเล็มฆ่าคนบริสุทธิ์ (เช่นฆ่าลูกบูชารูปเคารพ) แต่ก็ไม่รู้สึกผิดหรืออับอาย
เหมือนการฆ่าคน เลือดนองพื้น ไม่ได้รีบกลบเลือดนั้น
แต่เอาเลือดนั้นมาสาดให้ทั่วผนังและกำแพงบ้าน
นั่นเป็นการเร่งเร้าให้พระพิโรธของพระเจ้าลงมายังพวกเขา
การทำบาป เป็นสิ่งพระเจ้าไม่พอพระทัย
แต่คนที่ทำบาปแล้ว ไม่รู้สึกอะไร ถือเป็นเรื่องธรรมดา
หรืออยากอวดให้คนอื่นเห็นการทำบาปของเขาด้วยซ้ำไป
นั่นจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง
วันนี้ หากเราผิดพลาดพลั้งบาป จงรีบกลับใจ
3. เพียงแค่จะเป็นตัวอย่างสำหรับการเผยพระวจนะบอกคนอิสราเอล
ทำไมพระเจ้าต้องให้ภรรยาของเอเสเคียลตายด้วย?
นี่อาจเป็นคำถามคาใจ สำหรับบางคนที่อ่านบทนี้
เรื่องนี้ เราต้องเข้าใจว่า
พระเจ้ากำหนดวันเวลา จำนวนปีของแต่ละคน ที่จะอยู่บนโลกนี้ไว้ก่อนแล้ว (สดด. 139:16)
นั่นคือ ไม่ว่ายังไง ภรรยาเอเสเคียลก็ต้องเสียชีวิต ในช่วงเวลานี้อยู่แล้ว
แต่พระเจ้าทรงสามารถใช้การจากไปของเธอ
เพื่อจะสื่อสารพระวจนะของพระเจ้าแก่คนอิสราเอล ไปในขณะเดียวกันด้วย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น อยู่ในแผนการดีเลิศของพระเจ้า
และพระเจ้าทรงสามารถให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรานั้น
ทำให้ตัวเราถวายพระเกียรติแด่พระองค์ได้
4. ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่พระเจ้า เรียกเอเสเคียล ให้เผยพระวจนะ
พระองค์ทรงทำให้เขาเป็นใบ้
จะพูดได้ก็ต่อเมื่อ พระเจ้าเปิดปากเขาให้กล่าวคำเผยพระวจนะ (อสค. 3:26-27)
ใครที่คิดว่า เขาต้องทุกข์ยากลำบากเหลือเกิน ในการรับใช้พระเจ้า
จงหันไปดูเอเสเคียลเถิด
แม้ยากลำบากถึงเพียงนี้ เขายังคงสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้าต่อไป
คำคม
“ การพิพากษาของพระเจ้านั้น น่าสะพรึงกลัว และไม่อาจหลีกหนีได้
ทางรอดเดียวของคนบาป คือ ทางพระเยซู ”