สรุป เอเสเคียล 33

ภาพรวม

  • เอเสเคียล บทที่ 33 พระเจ้าบอกเอเสเคียลและคนอิสราเอล ว่าคนยามต้องรับผิดชอบ หากไม่เตือนประชาชน และบอกถึงวิธีการตัดสินอันยุติธรรมของพระเจ้า

# สรุป

@ สื่งที่เรียนรู้

เอเสเคียล บทที่ 33

พระเจ้าให้เอเสเคียล พูดกับคนอิสราเอล ว่า

ถ้า​​ชาย​คน​หนึ่ง​ถูก​ตั้ง​ให้​เป็น​ยาม​ เพื่อเป่า​แตร​เตือน​ประ​ชา​ชน

คนที่ได้​ยิน​เสียง​แตร แต่​ไม่​สน​ใจ​เสียง​เตือน คนนั้นจะตายด้วยดาบ​
และ​โลหิต​ของ​เขา​จะ​ตก​บน​ศีรษะ​ของ​เขาเอง
แต่​ถ้า​เขา​สน​ใจ​เสียง​เตือน เขา​ก็​จะ​รอดตาย

แต่ถ้า​คน​ยาม​เห็น​ดาบ​มา​แล้ว​ แต่​ไม่ได้​เป่า​แตร
และมีคนหนึ่งถูกฆ่าตายด้วย​ดาบ​นั้น
คน​นั้น​ตาย​เนื่องจาก​ความ​ผิด​บาป​ของ​เขา
แต่​พระเจ้า​จะ​ลง​โทษ ​คน​ยาม​ เรื่อง​โลหิต​ของ​คน​นั้น

พระเจ้า​ได้ตรัสกับเอเสเคียล ว่า
พระองค์ทรง​ตั้ง​เขา ​ให้​เป็น​คน​ยาม​สำ​หรับ​คนอิส​รา​เอล
ดังนั้นเอเสเคียล​ต้องเตือน​พวก​เขา​แทน​พระเจ้า
ถ้า​ไม่​ได้​​เตือน คนนั้น​จะ​ต้อง​ตาย
แต่พระเจ้า​จะ​ลง​โทษเอเสเคียล

แต่​ถ้า​เตือนแล้ว เขา​ไม่​กลับใจ
เขา​จะ​ต้อง​ตาย​ แต่เอเสเคียล​จะ​รอด

แล้วพระเจ้าให้เอเสเคียลพูดกับคนอิส​รา​เอล ​ว่า

พวก​เขา​คิดว่า ตนเองคงต้องวอดวายไปเพราะ​บาป​ที่ได้ทำ

ความจริงแล้ว พระเจ้า​ไม่​พอ​ใจ​ใน​ความ​ตาย​ของ​คน​อธรรม
แต่​พอ​ใจ​ใน​การ​ที่​คน​อธรรม​กลับใจใหม่ หัน​กลับ​จาก​ทาง​ชั่ว​ของตน
ดังนั้นพวกเขาควรรีบกลับใจ อย่า​ยอมตาย

ความ​ชอบ​ธรรม​ของ​ผู้​ชอบ​ธรรม จะ​ไม่​ช่วย​เขา​ให้​รอด เมื่อ​เขา​ทำ​การ​ละ​เมิด
​ความ​อธรรม​ของ​คน​อธรรม​ จะ​ไม่​ทำ​ให้​เขา​ล้ม​ลง​ เมื่อ​เขา​กลับใจ

คนชอบ​ธรรม​ที่หันไปทำ​บาป
ความ​ชอบ​ธรรมที่เขาเคยทำมา จะ​ไม่​ได้​รับ​การ​จด​จำ​อีก​เลย
และ​เขา​จะ​ต้อง​ตาย​เพราะ​บาป​ที่ทำนั้น

คน​อธรรม​ ที่กลับใจ​จาก​บาป มา​ทำ​​ความ​ชอบ​ธรรม
เขาจะรอดตาย บาป​ทั้ง​หมด​ของเขา​ จะ​ไม่​ถูก​จด​จำ​ไว้​กล่าว​โทษ​เขา

วิธี​การ​ของพระเจ้านั้น ​ถูก​ต้องและยุติธรรม
พระเจ้าจะ​พิพาก​ษาแต่ละคน ตาม​การ​ประพฤติ​ของเขา

ต่อ​มา​เมื่อ​วัน​ที่ 5 เดือน​ที่ 10 ใน​ปี​ที่ 12 ที่​กษัตริย์​เย​โฮ​ยา​คีน​ตก​เป็น​เชลย
(เหตุการณ์นี้เกิดก่อน อสค. บทที่ 32)
มีคน​หนึ่ง​ที่​หนี​มา​จาก​กรุง​เย​รู​ซา​เล็ม​ มาบอก​ว่า “เยรูซาเล็ม​แตก​เสีย​แล้ว”
ก่อนวันนั้น หนึ่งวัน พระเจ้าก็ทรง​เปิด​ปาก​เอเสเคียล และ​ไม่​ได้​เป็น​ใบ้​อีกต่อ​ไป

พระเจ้าให้เอเสเคียล กล่าวว่า
ชาวเยรูซาเล็ม พูด​ว่า พวกเขามี​จำนวน​มาก ดังนั้นเขาย่อมมีกรรม​สิทธิ์ในแผ่นดิน
แต่พระเจ้าตรัสว่า
พวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า และกราบไหว้​รูป​เคา​รพ และทำ​สิ่ง​น่า​สะ​อิด​สะ​เอียน
​และ​ทำ​ให้​โล​หิต​ไร้ความผิดตก และล่วงเกินภรร​ยา​ของ​เพื่อน​บ้าน
แล้ว​ยัง​จะมีหน้ามา​ ถือ​กรรม​สิทธิ์​ที่​ดิน​นี้​อีก​หรือ?

ดังนั้นพวกเขา​จะ​ต้อง​ล้ม​ลง​ด้วย​ดาบ บ้างก็ถูกสัตว์​ป่า​กัด​กิน บ้าง​ก็จะ​ตาย​ด้วย​โรค​ระ​บาด
พระเจ้าจะ​ทำ​ให้​แผ่น​ดิน​นั้น​ร้าง​เปล่า

ส่วนคนเหล่านั้น ที่มาหาเอเสเคียล เพื่อมา​ฟัง​พระ​วจนะ​พระเจ้า
พวก​เขา​จะฟัง​สิ่ง​ที่​เอเสเคียล​พูด แต่​ไม่​ยอม​ทำ​ตาม
เพราะ​พวก​เขา​แสดง​ความ​รัก​ด้วย​ปาก
แต่​จิต​ใจ​ มุ่ง​อยู่​ที่​ผล​กำ​ไร​มิ​ชอบ​ ของ​พวกเขา
พวกเขาจะฟังเอเสเคียล เหมือนฟัง​เพลง
พวก​เขา​จะ​ฟัง​ แต่​เขา​จะไม่​ทำ​ตาม

1. เมื่อการพิพากษาจากพระเจ้ามาถึงคนบาป จะมี 2 อย่างมาถึง คือ
1.) การลงโทษเพราะบาป คนที่ทำบาปรับไป
2.) การลงโทษเรื่อง​โลหิต​ที่ตก อันนี้ อาจเป็นคนนั้นรับไปเอง หรือคนที่ฆ่าเขา(แต่กรณีพระเจ้าใช้คนนั้นมา คนฆ่าไม่ต้องรับผิดชอบ) หรือคนที่เป็นเหตุให้คนนั้นถูกฆ่า
>> เหมือนตอนที่ ปีลาตสั่งตรึงพระเยซู แล้วพวกยิวบอกว่า
“ให้​ความ​ผิด​เรื่อง​ความ​ตาย​ของ​เขา​ตก​อยู่​กับ​เรา​และ​ลูกๆ ของ​เรา” (มธ. 27:25)

ใน เอเสเคียลบทนี้ พูดถึง คนที่รู้แล้วไม่เตือนภัยคนอื่น จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องโลหิตที่ตก

ดูเหมือนเราทั้งหลาย ที่ได้รับข่าวประเสริฐแล้ว
มีหน้าที่ที่จะต้องเตือนคนอื่นถึงการพิพากษาที่จะมาถึงในวันสุดท้าย
เราควรทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง

เมื่อทำอย่างเต็มที่แล้ว เราจึงมั่นใจว่า เราจะพ้นจากการถูกตำหนิ ในวันแห่งกาพิพากษา
(เพราะ รม. 8:1 “ไม่​มี​การ​ลง​โทษ​คน​ที่​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์” ไม่มีการลงโทษ แต่อาจถูกตำหนิได้ หากใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัว ขณะอยู่ในโลกนี้)

เหมือนที่เปาโล พูดกับ ผู้นำคริสตจักรเอเฟซัส ใน กจ. 20:26
เปาโลได้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อให้พวกเขาอยู่ในทางของพระเจ้า
เปาโลจึงกล่าวได้อย่างเต็มปาก ว่า
“เพราะ​ฉะนั้น​ใน​วัน​นี้​ข้าพ​เจ้า​ขอ​ยืน​ยัน​ต่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า
แม้​ท่าน​ทุก​คน​จะ​หลง​หาย​ไป ข้าพ​เจ้า​ก็​พ้น​โทษ​แล้ว”
(พ้นโทษในที่นี้ หมายถึง พ้นจากการถูกตำหนิ)

2. วิธีการของพระเจ้ายุติธรรม
พระองค์ตัดสินคน ในสภาพที่เขาเป็นวันนี้ ไม่ใช่ในอดีต
อดีตเคยชั่ว วันนี้ กลับใจก็รับการอภัย
อดีตเคยดี วันนี้ ทำชั่วก็รับการลงโทษ

ในอดีตเรารักพระเจ้ามากแค่ไหนนั้น
ไม่สำคัญเท่ากับ
วันนี้เรายังคงรักพระเจ้ามากเพียงใด

คำคม

“ คนที่มาฟังพระคำของพระเจ้า แต่ไม่ทำตาม
พระเจ้าเรียกคนเหล่านั้นว่า ผู้ที่รักพระองค์แต่ปาก ”