ภาพรวม
- ในบทที่ 9 นี้ พูดถึง ผู้กลับมาจากการเป็นเชลยในกรุงบาบิโลน และทบทวนถึงต้นตระกูลของกษัตริย์ซาอูลอีกครั้ง
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
1พงศาวดาร บทที่ 9 ต่อเนื่องจาก บทที่ 8 ซึ่งพูดถึงเชื้อสายของเบนยามิน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของซาอูล กษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล
ในบทที่ 9 นี้ พูดถึง พงศ์พันธุ์อิสราเอลที่กลับมาจากการถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลน ดังนี้
พวกแรกที่เข้ามาอาศัยในที่กรรมสิทธิ์ของเขา ในบรรดาเมืองของเขา คือ พวกปุโรหิต พวกเลวี และพวกคนใช้ประจำพระวิหาร
และในเยรูซาเล็มมีบุตรหลาน ของยูดาห์ 690 คน
ของเบนยามิน 956 คน และบางส่วนจากเผ่าเอฟราอิม และเผ่ามนัสเสห์ อาศัยอยู่
จากพวกปุโรหิต มีเยดายาห์ , เยโฮยาริบ , ยาคีน , อาซาริยาห์(ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ดูแลพระวิหารของพระเจ้า) , อาดายาห์ และมาอาสัย และบรรดาญาติของพวกเขา รวมเป็น 1,760 คน
พวกเขาเป็นคนมีความสามารถมากสำหรับงานปรนนิบัติในพระวิหารของพระเจ้า
จากคนเลวี มีเชไมอาห์ , บัคบัคคาร์ , เฮเรช , กาลาล , มัทธานิยาห์ , โอบาดีห์ และเบเรคยาห์
บรรดาผู้เฝ้าประตู คือ ชัลลูม อักขูบ ทัลโมน อาหิมาน และบรรดาญาติของพวกเขา (ชัลลูมเป็นผู้นำ)
คนโคราห์ เป็นผู้ดูแลการงานปรนนิบัติ เป็นผู้เฝ้าธรณีประตูของเต็นท์
เศคาริยาห์ เป็นผู้เฝ้าทางเข้าประตูเต็นท์นัดพบ
ผู้เฝ้าประตูที่ธรณีทั้งหมดมี 212 คน
ผู้เฝ้าประตูเหล่านี้ ต้องเข้ามาทุกๆ 7 วันตามเวลากำหนด
หัวหน้าของพวกเขา คือ นายประตู มีตำแหน่งรับผิดชอบ เป็นผู้ดูแลห้องและคลังของพระวิหารของพระเจ้า
พวกเขาพักอาศัยอยู่รอบพระวิหารของพระเจ้า
พวกเขามีหน้าที่เปิดประตูทุกเช้า
บางคนในพวกเขา เป็นคนดูแลเครื่องใช้ในการปรนนิบัติในพระวิหาร และจัดเตรียมอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ
เหล่านักร้อง คือผู้นำตระกูลคนเลวี ผู้อาศัยอยู่ในห้องในพระวิหาร ไม่ต้องทำการปรนนิบัติอย่างอื่น
เพราะพวกเขาอยู่เวรทั้งกลางวันและกลางคืน
แล้วผู้เขียน 1 พงศาวดาร ย้อนกลับไปสรุปต้นตระกูลของกษัตริย์ซาอูลอีกครั้งในบทนี้ ข้อความเหมือนกับใน 1พศด. 9:35-44 ก่อนที่จะพูดถึงการสิ้นพระชนม์ของซาอูลในบทถัดไป
1. ก่อนหน้าที่จะตกเป็นเชลยอาณาจักรอิสราเอลแตกแยกเป็น 2 อาณาจักร
แต่เมื่อกลับมาจากเป็นเชลย พวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกัน
เฉพาะในเยรูซาเล็มมีเผ่ายูดาห์ เผ่าเบนยามิน เผ่าเลวี เผ่าเอฟราอิม และเผ่ามนัสเสห์ (ข้อ 3)
การที่กรุงสะมาเรียแตก และกรุงเยรูซาเล็มแตก สาเหตุจากการที่พวกเขาละทิ้งพระเจ้า
หันไปทำสิ่งชั่วร้าย เช่นเอาลูกมาเผาบูชายันต์แก่รูปเคารพ ฯลฯ
พระพิโรธของพระเจ้าจึงตกมาสู่พวกเขา
ท่ามกลางพระพิโรธนั้น เรายังเห็นพระเมตตาของพระเจ้า ต่อประชากรของพระองค์
ในที่สุดพระองค์ทรงนำพวกเขากลับมา
และในที่สุดพวกเขากลับเป็นชนชาติเดียวกันอีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้น
สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ สาเหตุอาจจะเกิดจากความผิดพลาดหรือความบาปของเราเอง
ถึงกระนั้นในท่ามกลางสถานการณ์นี้ เรายังสามารถเห็นพระคุณพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราได้
2. คนกลุ่มแรกๆที่ได้กลับมาจากการเป็นเชลย ไม่ใช่เหล่านักรบผู้กล้าหาญ
แต่เป็นเหล่าปุโรหิตและเลวี ผู้ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
เพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
การได้กลับมาจากการเป็นเชลยนี้ เป็นมาจากพระเจ้าแน่นอน
พระเจ้าจะทรงดูแล ผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์เสมอ
ไม่ว่าคนนั้นจะทำสิ่งเล็กน้อยสักเพียงใดก็ตาม
เช่นเป็นเพียงคนเฝ้าธรณีประตู เป็นต้น
หากเราสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า พระองค์จะทรงสำแดงความสัตย์ซื่อในพันธสัญญาของพระองค์แก่เรา
3. เหล่านักร้อง ต้องอาศัยในพระวิหาร และไม่ต้องทำงานรับใช้อื่นๆ เพราะงานของพวกเขามีการเข้ากะทั้งกลางวันและกลางคืน
เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง หรือรับใช้ทุกด้าน
เพียงแค่ทำด้านที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้เราทำ อย่างเต็มกำลังนั่นก็เพียงพอแล้ว
มันอาจจะดูไม่หรูหรา ไม่ตื่นเต้น ไม่น่าท้าทายเหมือนของคนอื่น
ซึ่งนั่นก็ไม่สำคัญเลย
ขอเพียงเราได้ทำหน้าที่ของเราที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อ
แม้จะดูเหมือนเราไม่ทำมากมายหลายอย่างเหมือนคนอื่น
แต่เรายังคงเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ หากเราทำส่วนของเราอย่างสัตย์ซื่อ
คำคม
“ ผู้ที่สัตย์ซื่อในการรับใช้ จะได้รับพระพรตามพระสัญญาจากพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ”