ภาพรวม
- เนบูคัสซาร์ได้บุกมาทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหาร และจับเศเดคียาห์กับประชาชนทั้งหมดไปบาบิโลน และขนสิ่งของ เงิน ทอง และทองสัมฤทธิ์ทั้งหมด ไปยังบาบิโลน ปิดฉากยุคแห่งการมีมนุษย์เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
# สรุป
@ สื่งที่เรียนรู้
2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 25 เพราะเยโฮยาคิม , ยาโฮยาคีน และ เศเดคียาห์ กษัตริย์ 3 องค์สุดท้ายของยูดาห์ ทำชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า จนนำหายนะมาสู่ยูดาห์
วันที่ 10 เดือน 10 ปีที่ 9 แห่งรัชกาลของเศเดคียาห์
เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลน
ได้ทรงยกทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็มไว้ 2 ปี
เมื่อถึงวันที่ 9 เดือนที่ 4 ปีที่ 11 แห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์
กรุงนั้นก็แตก
เศเดคียาห์ถูกจับ นำมายังเมืองริบลาห์
เนบูคัสเนสซาร์ได้ประหารชีวิตบรรดาพระโอรสของเศเดคียาห์ ต่อหน้าเขาแล้วควักตาของเขาออก และตีตรวนแล้วพาไปยังบาบิโลน
วันที่ 7 เดือนที่ 5 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
เนบูซาระดาน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ของเนบูคัดเนสซาร์ได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม
ได้เผาพระนิเวศของพระเจ้า พระราชวัง และบ้านเรือนทั้งหมด
ได้ทลายกำแพงรอบเยรูซาเล็มลง
และกวาดต้อนประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง ไปเป็นเชลย
ได้ทุบทองสัมฤทธิ์ ในพระนิเวศของพระเจ้า เป็นชิ้นๆ และขนเอาไปยังบาบิโลน
และได้จับเสไรอาห์มหาปุโรหิต และเศฟันยาห์ปุโรหิตรอง กับข้าราชสำนัก พามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์ ที่ริบลาห์
แล้วพวกเขาก็ถูกประหารชีวิตที่นั่น
เนบูคัดเนสซาร์ทรงตั้งเกดาลิยาห์ ให้เป็นเจ้าเมือง
ปกครองประชาชนผู้เหลืออยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ที่ได้ทรงเหลือไว้
ต่อมา อิชมาเอล ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้ฆ่าเกดาลิยาห์
แล้วประชาชนทั้งสิ้น จึงได้หนีไปยังอียิปต์
เพราะเขากลัวคนเคลเดีย
ต่อมาในวันที่ 27 เดือนที่ 12 ปีที่ 37 ที่เยโฮยาคีน พระราชาแห่งยูดาห์ถูกจับไปบาบิโลน
เอวิลเมโรดัก ทรงเป็นพระราชาแห่งบาบิโลน
พระองค์ทรงให้เยโฮยาคีน พ้นจากเรือนจำ
และให้ที่นั่งที่มีเกียรติกว่าบรรดาที่นั่งของบรรดากษัตริย์อื่นๆ
และให้ได้รับประทานอย่างดีทุกวัน
และได้รับค่าใช้จ่าย ตามความต้องการในแต่ละวันตลอดชีวิตของเขา
1. เศเดคียาห์ ทำสิ่งชั่วร้ายมากมายซึ่งเราพบรายละเอียดได้จากพระธรรมเยเรมีย์
สุดท้ายเขาก็พบกับจุดจบอย่าน่าอนาถ
เป็นการปิดฉากสมัยแห่งการมีกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
ตั้งแต่ซาอูลกษัตริย์องค์แรก(1,050 ก.คศ.) ถึงกษัตริย์องค์สุดท้ายเศเดคียาห์(586 ก.คศ.)
เป็นเวลา 464 ปี
บทเรียนจากกษัตริย์เหล่านั้น คือ
เมื่อทำสิ่งที่ถูกต้องต่อพระเจ้า จะพบกับพระพร
เมื่อทำสิ่งชั่วร้าย จะพบเหตุร้าย
เมื่อพบเหตุร้าย แล้วกลับมาหาพระเจ้า จะพบการอภัยและการช่วยกู้
แต่ถ้าพบเหตุร้าย ก็ยังใจแข็งกระด้างทำชั่วต่อไปจะพบกับหายนะ
2. เมื่อคนอิสราเอลทำสิ่งชั่วร้าย(เช่นเอาลูกของตนไปเผาบูชายันต์แก่รูปเคารพ,ฯลฯ)
แล้วไม่ยอมกลับใจ
พระเจ้าทรงรักพวกเขาและจะทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขากลับใจ
พระองค์ไม่สนใจ เงินหรือทองคำ หรือวิหารอันงดงาม
พระองค์เต็มใจให้คนมาปล้นมันไป และทำลายมัน
เพียงเพื่อจะช่วยให้ประชากรของพระองค์หันกลับจากบาปของตน หันมาหาพระเจ้า
สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ตั้งแต่อิสราเอลกลับมาจากการเป็นเชลยในบาบิโลน
จนมาถึงสมัยของพระเยซู
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
คนอิสราเอลไม่กราบไหว้รูปเคารพอีกเลย
(แม้ยังจะมีทำบาปประเภทอื่นๆอยู่ก็ตาม)
พระเจ้ายอมนำทุกอย่างไปจากชีวิตของเรา เพียงเพื่อให้เรากลับใจ
เพราะว่าไม่ว่าเราจะสูญเสียอะไรก็ตามในโลกนี้
เทียบความเสียหายไม่ได้กับ หากเราต้องสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไป
วันนี้หากเราเดินถอยห่างไปจากทางของพระเจ้า
จงรีบกลับใจ ก่อนที่จะสายเกินไป
3. ในที่สุด หลังจากผ่านไป 37 ปี เยโฮยาคีน ก็ได้รับความเมตตาอย่างประหลาดจากพระราชาบาบิโลน
เพื่อเป็นการปูทางให้เชื้อสายของเขา คือเศรุบบาเบล สามารถเป็นผู้นำในการนำคนอิสราเอลกลับมาสร้างพระวิหารขึ้นใหม่อีกครั้งในเวลาต่อมา
เมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพร บางคนซึ่งเรายังไม่เข้าใจ
เมื่อเวลาผ่านไปในที่สุดก็จะพบว่า พระเจ้านั้นยุติธรรมและแผนการของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้หรือเข้าใจได้หมด
วันนี้ หากเราเจอสถานการณ์ที่ คนที่ไม่น่าจะได้รับพระพร กลับได้รับ
และคนที่ควรจะได้รับพระพร กลับไม่ได้
ให้พึงรู้เถิดว่า พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับเหตุการณ์เหล่านี้
คำคม
“ สำหรับพระเจ้า จิตวิญญาณของมนุษย์ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งของใดๆในโลก ”